xs
xsm
sm
md
lg

“กรณ์” ชำแหละ “Wisdom ของทักษิณ” ทั้งผิด และอันตราย ที่ออกมาดิ้นพล่านเพราะปลด “ประสาร” ไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“กรณ์” โพสต์เฟซบุ๊กอัด ..“Wisdom ของทักษิณ !?” ทั้งผิด และอันตราย แถมไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ และหลักคิด ซึ่งอยากจะบอกว่า นอกจากขาดความเข้าใจในหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ความเข้าใจในหลักประชาธิปไตยของคุณทักษิณยิ่งน่าเป็นห่วง แต่ที่ทักษิณเป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด น่าจะเป็นเพราะกฎหมาย ทำให้ปลดผู้ว่าฯ “ประสาร” ไม่ได้จึงโทษไปที่การทำรัฐประหาร

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่หน้าเพจเฟซบุ๊กของ Korn Chatikavanij ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเกี่ยวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ไร้ปัญญา มั่ว เศรษฐศาสตร์ โทษรัฐประหาร เหตุออกกฎหมายทำให้ปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติยากขึ้น หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กตัวเอง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัดแบงก์ชาติทำตัวอิสระเกินไป จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งผิดกับญี่ปุ่นที่ทำงานร่วมกันอย่างดี และเศรษฐกิจกำลังไปได้สวย

ส่วนความข้อความฉบับเต็มมีดังนี้

Wisdom ของ ทักษิณ !?

หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กตัวเอง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัดแบงก์ชาติทำตัวอิสระเกินไป จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งผิดกับญี่ปุ่นที่ทำงานร่วมกันอย่างดี และเศรษฐกิจกำลังไปได้สวย

และทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าว กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้เช่นกัน โดยใช้หัวเรื่องว่า..“Wisdom ของ ทักษิณ !?”

กรณ์ เริ่มต้นโพสต์ว่า...

“ปัญญาที่แท้จริงคือ การรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย” โซคราตีส
“The only true wisdom is knowing you know nothing” Socrates

คุณทักษิณเขียน FB อ้างกรณีญี่ปุ่น คิดอยากยกเลิกหลักความเป็นอิสระของแบงก์ชาติไทย แถมอ้างว่าที่เป็นอิสระนี้เป็นเพียงเพราะกฎหมายร่างในสมัยรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ

ความคิด และตรรกะที่คุณทักษิณอ้างว่าสะท้อน “wisdom” หรือ “ปัญญา” นั้นทั้งผิด ทั้งอันตราย

ก่อนอื่นญี่ปุ่นนั้นมีการปฏิรูปกฎหมายของธนาคารกลางของเขา (BoJ) เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระจากรัฐบาลในปี 2540 ให้มีคณะกรรมการนโยบายการเงิน 9 ท่าน ตอนประชุมทางรัฐบาลส่งคนไปสังเกตการณ์ได้ แต่ลงคะแนนไม่ได้ ถึงแม้ความเป็นอิสระของ BoJ ยังน้อยกว่าธนาคารกลางที่ยุโรป แต่ก็ไม่ได้ถึงกับ “ขึ้นกับรัฐบาล”

ประเด็นที่สำคัญคือ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่นต่างกันฟ้ากับดิน เพราะก่อนหน้านั้น คนญี่ปุ่นไม่ยอมใช้เงิน ทาง BoJ จึงมีนโยบายพิมพ์เงินเพิ่ม เพื่อทำให้คนใช้เงิน และทำให้ค่าเงินลดลง BoJ ต้องเปลี่ยนนโยบายเพราะได้ลดดอกเบี้ยลงมาเหลือ 0% แล้วแต่ก็ไม่มีผล และราคาสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนบ้านเราต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนใช้เงินเยอะมาก สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 10% หลายปีติดต่อกัน หนี้ครัวเรือนก็เพิ่ม ส่วนราคาสินทรัพย์ทุกประเภทขึ้นหมด คุณทักษิณ ก็พูดเองว่าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจนกลัวว่าจะเป็น “ฟองสบู่” ดังนั้น จะให้แบงก์ชาติใช้นโยบายเหมือน BoJ ในการทำให้มีการใช้เงินเยอะขึ้นทำไม

ปัญหาคือ คุณทักษิณ ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ดีพอ ที่บอกว่า GDP ไทยส่วนใหญ่มาจากการส่งออกนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะการเอามูลค่าการส่งออกมาคำนวณ GDP นั้นต้องหักมูลค่าการนำเข้าออกก่อน และองค์ประกอบที่เป็น “ส่วนใหญ่” ของ GDP ของประเทศไทยนั้น คือ การบริโภคภายในประเทศเราเอง (ประมาณ 52% ของ GDP)

และถ้าเรามีนโยบายแบบญี่ปุ่น หนึ่งในผลที่จะตามมาคือ กำลังซื้อของคนไทยที่หายไปจากค่าเงินที่ลดลง ถ้าเงินบาทอ่อนลงประมาณเท่ากับญี่ปุ่น สมมติจาก 29 บาทเป็น 40 บาทต่อดอลลาร์ ราคานํ้ามันก็จะเพิ่มจาก 29 บาทเป็น 40 บาทต่อลิตรทันที ผู้ส่งออกอาจจะชอบ แต่พี่น้องคนไทยตายหมด

ส่วนแบงก์ชาติเรานั้น การแก้กฎหมายในปี 2551 ความจริงได้นำไปสู่การลดอำนาจของผู้ว่าฯ เพราะได้กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นมากำกับอีกชั้นหนึ่ง และมีประธานซึ่งรัฐบาลมีอิทธิพลในการแต่งตั้งสูงมาก จนเป็นเหตุให้หม่อมเต่าหลุดไป และเราได้ ดร.โกร่งมาแทน

นอกจากนั้น การแก้ครั้งนั้นก็ทำให้บทบาทของรัฐบาลในการร่วมกำหนดนโยบายการเงินมีความชัดเจนขึ้น คือ ทุกปีรัฐบาลจะเป็นผู้เห็นชอบการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อที่แบงก์ชาติเป็นผู้เสนอ แบงก์ชาติมีเพียงความเป็นอิสระในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามเป้านั้น ดังนั้น เมื่อ ครม.อนุมัติเองแล้ว จะมาว่าอะไรเขาอีก

ที่ผมว่าคุณทักษิณ เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดน่าจะเป็นเพราะกฎหมายทำให้ปลดผู้ว่าฯ ตามไม่ได้...

สุดท้ายผมอยากจะบอกว่า นอกจากขาดความเข้าใจในหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ความเข้าใจในหลักประชาธิปไตยของคุณทักษิณยิ่งน่าเป็นห่วง คุณทักษิณ มองการถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบ แค่นๆ” และอยากจะให้รัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง และให้วัดกันที่การเลือกตั้งทุกสี่ปีเท่านั้น

ไหนบอกชอบรัฐธรรมนูญ 40 ไงครับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้แหละครับคือ ต้นกำเนิดขององค์กรอิสระทั้งหลาย


กำลังโหลดความคิดเห็น