ธ.กสิกรไทย คาดประชุม กนง. วันที่ 29 พ.ค.นี้ คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.75% และต่อเนื่องถึงสิ้นปี เพราะเป็นระดับที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ และไม่ได้เป็นภาระต่อต้นทุนผู้ประกอบการมากเกินไป
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 29 พฤษภาคม 2556 นี้ คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.75 เนื่องจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 5 อัตราเงินเฟ้อยังควบคุมได้ไม่เกินร้อยละ 3 ขณะที่ค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวทรงตัว และมีเสถียรภาพมากขึ้น และเชื่อว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 2.75 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบันมีความเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เป็นภาระต่อต้นทุนผู้ประกอบการมากเกินไป
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีความกังวลเรื่องความร้อนแรงของสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ หากลดอัตราดอกเบี้ยต่ำมากเกินไปจะกระตุ้นให้ประชาชนหันไปลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และสินเชื่อจะยิ่งเพิ่มความร้อนแรง แม้ว่าจะยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม เนื่องจากปริมาณบ้าน และที่อยู่อาศัยที่เหลืออยู่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 2540
ขณะที่สัดส่วนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 20 ของสินเชื่อรวม ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ หากเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ร้อยละ 30 และคาดว่าสัดส่วนสินเชื่อบ้านทั้งระบบของไทยจะอยู่ในระดับร้อยละ 22 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
ส่วนการปล่อยสินเชื่อให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน เพราะบริษัทหลายแห่งระดมทุนด้วยตัวเองทั้งการออกหุ้นกู้ ตราสารหนี้ และกองทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
นายปกรณ์ กล่าวด้วยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ขยายการให้บริการไพรเวทแบงก์ หรือธนาคารส่วนบุคคลไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ที่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และมีความซับซ้อนมากขึ้น ตั้งเป้าหมายเพิ่มฐานลูกค้าในต่างจังหวัดร้อยละ 20
นายปกรณ์ คาดว่าในสิ้นปีนี้ ธนาคารจะเพิ่มจำนวนลูกค้าไพรเวทแบงก์ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดอีกร้อยละ 15 จากจำนวนลูกค้ากลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง ประมาณ 6,500 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ ร้อยละ 30 ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 21,000 ราย และจะขยายฐานสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมประมาณ 500,000 ล้านบาท และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 24