“เอ็ม เอฟ อี ซี” มั่นใจปี 56 สร้างผลงานโตก้าวกระโดดจากอุตสาหกรรมไอทีขยายตัว หนุนปริมาณงานไหลเข้าตลาดเพิ่มขึ้น หลังโชว์ผลงานโค้งแรกสุดยอดกำไร 72 ลบ. เติบโต 59 ลบ.หรือ 455% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนา และวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2556 ว่า คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2555 จากอุตสาหกรรมไอทีมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการขยายการลงทุนด้านไอทีของภาคเอกชนเพื่อสร้างความได้เปรียบในทางธุรกิจ และการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีอย่างชัดเจน จึงสะท้อนให้มีงานใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการรวมกลุ่มกับบริษัทไอทีชั้นนำ ขึ้นเป็น MFEC GROUP ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ MFEC มีความแข็งแกร่งพร้อมรับมือกับการแข่งขันเป็นอย่างดี และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ส่งผลต่อเนื่องให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิเติบโตได้อย่างโดดเด่นดังกล่าว
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2556 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท สูงกว่า ณ ช่วงสิ้นปี 2555 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2,300 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าปริมาณงานเข้าเพิ่มมากกว่างานที่ทยอยรับรู้รายได้ นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เตรียมพัฒนาระบบ Software ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับตลาดไอทีที่ขยายตัว ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่บริษัทฯ จะรับงานในโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐ และเอกชนเพิ่มมากขึ้น จากความได้เปรียบของ MFEC GROUP ที่กลายเป็นองค์กรไอทีขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของไทย มีความพร้อมทั้งเรื่องบุคลากร ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และมีทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของตัวเอง จึงได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งภาครัฐ และเอกชนในวงกว้างดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC แจ้งผลประกอบการงวด 3 เดือนประจำไตรมาส 1/2556 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 528 ล้านบาท หรือร้อยละ 64 จากงวดไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ที่มีรายได้ 824 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 72 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.16 บาท เพิ่มขึ้น 59 ล้านบาท หรือร้อยละ 455 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.03 บาท สำหรับผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้มีปัจจัยมาจากบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มจากงานที่ชะลอการส่งมอบมาจากไตรมาสที่ 4/2555