วิกฤตยุโรป อเมริกา ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก การท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก แม้กระทั่งภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะโครงการที่พัฒนามาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ หรือตามเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย และเพื่อลดความเสี่ยงจากการอิงตลาดยุโรป และอเมริกาเพียงตลาดเดียว ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนเองได้ปรับตัวเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ กลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นายวราวุธ ชูวิรัช เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี กล่าวว่า กลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีรายได้หลักจากน้ำมัน ประชากรมีรายได้สูง และการเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งการฝากเงินไม่มีดอกเบี้ย ดังนั้น นักธุรกิจจึงนำเงินไปลงทุนในด้านอื่นๆ แทนการฝากเงิน โดยกลุ่มนักลงทุนเหล่านี้จะกระจ่ายการลงทุนไปทั่วโลกในหลากหลายธุรกิจ
ที่ผ่านมา นักธุรกิจชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดเผยตัว บางส่วนลงทุนผ่านกองทุนต่างๆ นอกจากนี้ ชาวอาหรับยังนิยมเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไทยขึ้นชื่อว่าเป็นฮับด้านการรักษาพยาบาล แม้จะมีคนป่วยเพียงคนเดียว แต่ก็จะเดินทางมากันทั้งครอบครัว รักษาพยาบาลคนเดียว ที่เหลือจะชอปปิ้ง นอกจากนี้ ชาวอาหรับยังนิยมเที่ยวเมืองไทยในช่วงโลว์ซีชัน หรือช่วงหน้าฝน เพราะประเทศเหล่านี้ไม่ค่อยมีฝนจึงต้องการเห็นฝนตก
“การที่กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางมารักษาพยาบาล ท่องเที่ยว ชอปปิ้ง ที่เมืองไทยบ่อยครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อที่อยู่อาศัย หรือบ้านหลังที่สองในเมืองไทยแทนการเช่าโรงแรมหรู” เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี กล่าว
จากทิศทางดังกล่าว ทำให้ นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการ “มหานคร” เล็งเห็นความสำคัญของลูกค้ากลุ่มนี้ และตอกย้ำแนวคิดดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เมื่อนายอัสการ์ เอส พาเทล ประธานกลุ่ม บริษัท เฮาส์ ออฟ พาเทลส์ (House of Patels) ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวอินเดีย ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายในดูไบ ซึ่งเป็นลูกค้าผู้ซื้อห้องชุดแบบเพนต์เฮาส์ ในโครงการมหานคร ชั้นที่ 72-73 พื้นที่ใช้สอย 1,500 ตร.ม. ราคา 480 ล้านบาท
นายอัสการ์ ระบุว่า ที่ตัดสินใจซื้อโครงการนี้เพราะมองว่าคุ้มค่าในการลงทุน พร้อมกับเผยว่า นี่เป็นการซื้ออสังหาฯ ครั้งแรกในไทย หลังจากก่อนหน้านี้ มีความสนใจอสังหาฯในภูเก็ต โดยเป้าหมายในการซื้อส่วนหนึ่งเพื่อเป็นทรัพย์สิน สำหรับเป็นที่พักอาศัยในวัยหลังเกษียณ และยังกล่าวด้วยว่า สนใจจะลงทุนซื้ออสังหาฯ โครงการใหม่ของเพซ ที่จะขยายไปเปิดที่หัวหินในเร็วๆ นี้อีกด้วย ซึ่งตนมองว่า ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ และเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดี การซื้ออสังหาฯ ในไทยนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมีแนวโน้มที่ราคาจะเพิ่มขึ้นได้อีก
นายสรพจน์ กล่าต่อว่า ภายหลังจากที่ นายอัสการ์ ซื้อห้องชุด และชักชวนให้มาจัดงานโรดโชว์ที่ดูไบ เนื่องจากเป็นจุดศูนย์รวมของนักลงทุนในประเทศสมาชิก และกลุ่มประเทศอื่นๆ โดยดูไบเป็นเมืองเทรดดิ้งคล้ายๆ สิงคโปร์ จึงเป็นที่มาของการจัดงานโรดโชว์โครงการ “มหานคร” ขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ดูไบ จากที่ก่อนหน้านี้ จัดโรดโชว์เฉพาะที่สิงคโปร์ และฮ่องกงเป็นหลัก ซึ่งเฉพาะ 2 ประเทศนี้มียอดขาย 25 ยูนิต โดยยอดขายก่อนหน้าจัดงานสามารถขายได้ถึง 3 ยูนิต มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และเฉพาะภายในงานขายไปได้แล้ว 7 ยูนิต มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และมีลูกค้าหลายรายอยู่ระหว่างตัดสินใจ นับว่าการจัดงานครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาด
สำหรับโครงการมหานคร เป็นอาคารสูงที่สุดในไทย ด้วยความสูง 77 ชั้น หรือ 314 เมตร เป็นอาคารแบบผสมผสาน มีทั้งที่พักอาศัย คือ คอนโดมิเนียมที่บริหารโดย “เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส” จำนวน 194 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 34 ล้านบาท สำหรับห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 50 ล้านบาท สำหรับขนาด 3 ห้องนอน ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 50% ส่วนใหญ่เป็นห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังมีส่วนของโรงแรม “ดิ เอดิชัน บางกอก” แบรนด์โรงแรมหรูในเครือ เดอะ ริทซ์ คาร์ลตัน เช่นกัน จำนวน 159 ห้อง และพื้นที่รีเทล “คิวบ์” ไลฟ์สไตล์รีเทล ศูนย์รวมแบรนด์ดัง โดยจะเปิดให้บริการในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะรวมร้านอาหาร ร้านค้าจากต่างประเทศ เช่น ร้าน “ดีน แอนด์ เดลูกา” Dean & DeLuca Cafe' จากอเมริกา ล่าสุด เตรียมเปิด “โว้ค คลับ” ร้านคาเฟ่เบเกอรี จากนิตยสารโว้ค แห่งแรกในไทย และร้านอาหาร “ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง” เพื่อให้เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ ร้านดังจากต่างประเทศแห่งเดียวในไทย
สำหรับราคาขายคอนโดมหานคร อยู่ที่ราคาประมาณ 2.6-4 แสนบาท/ตร.ม. เป็นราคาที่ปรับขึ้นมาจากต้นปีประมาณ 5% โดยยูนิตที่แพงที่สุดอยู่ที่ 480 ล้านบาท โดยน่าจะเป็นราคาคอนโดฯ แบบสัญญาเช่าระยะยาวที่แพงที่สุดในไทย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังถูกกว่าราคาคอนโดฯ ในเมืองใหญ่ของเอเชีย อย่าง ฮ่องกง และสิงคโปร์ ที่ราคาขายคอนโดฯ ในสัญญาเช่าเช่นเดียวกันนี้สูงกว่าไทย 5-10% โดยหากเทียบแล้วราคาที่ 4 แสนบาทต่อตร.ม. เท่ากับราคาเฉลี่ยคอนโดฯ ระดับทั่วไปในฮ่องกงเท่านั้น