หุ้นไทยปิดบวก 2.0 จุด อยู่ที่ระดับ 1,584.93 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 49,258.25 ล้านบาท
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้(29 เม.ย) ปิดที่ระดับ 1,584.93 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.0 จุด หรือ 0.13% มูลค่าการซื้อขาย 49,258.25 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,592.76 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,575.90 จุด นักลงทุนยังหวั่นเงินบาทจะกลับมาแข็งค่า แม้จะอ่อนตัวลงบ้างแล้ว
โดยมีหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 321 หลักทรัพย์ ลดลง 333 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 131 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 992.31 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 1,413.22 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ1,160.92 ล้านบาท และสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,244.61 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่CPALL ปิ ดที่ 43.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,094,600 ล้านบาทBLAND ปิ ดที่ 2.14 บาท เพิ่มขึ้น 2.14 หรือ 0.14% มูลค่าการซื้อขาย 2,762,319 ล้านบาทADVANCE ปิดที่ 263.00 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 1.87% มูลค่าการซื้อขาย 1,343,260 ล้านบาท INTUCH ปิดที่ 84.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.30% มูลค่าการซื้อขาย 1,200,221 ล้านบาท และJAS ปิดที่ 8.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซื้อขาย 944,593 ล้านบาท
อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดในขณะนี้ว่า ตลาดแกว่งตัวเนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการ ขณะเดียวกันนักลงทุนกังวลมาตรการค่าเงินบาท โดยแง่ความกังวลค่าเงินบาทยังไม่รุนแรงมากนัก ในระยะหลัง 2-3 วันที่ผ่านมา เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงมา แรงกดดันในส่วนค่าเงินจะอ่อนลงบ้าง ทำให้ตลาดยังอยู่ในแดนบวกได้ แม้ว่าจุดต่ำสุดต่อวันจะลดลงไปที่ระดับ 1,575.9 จุดแต่ยังกลับมายืน บวกได้ที่ 1,580 จุด
ในส่วนของการเก็งกำไรผลประกอบการ จะเห็นได้ว่ากระจุกตัวอยู่ในกลุ่มภาคธุรกิจที่แท้จริง (real sector) เนื่องจากว่าในกลุ่มธนาคาร รายงานผลประกอบการได้จบลงไปแล้ว จึงต้องจับตากลุ่มภาคธุรกิจถัดไปที่จะทยอยประกาศผลประกอบการไปจนถึงเดือนพฤษภาคม
ในแง่ของการปรับขึ้นราคารถไฟฟ้า ถือว่าเป็นรายได้ของผู้ประกอบการอยู่แล้ว ซึ่งการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารจะเป็นไปตามการคำนวนรอบตามอัตราค่าเงินเฟ้อและเป็นไปตามสัญญาสัมปทาน และค่าตอบแทนเทียบกับรายได้ค่าแรงขั้นต่ำ จากในปัจจุบันที่จำนวนรถเพิ่มขึ้นและปัญหารถติดเรื้อรัง จำนวนคนที่หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี และตัวรถไฟฟ้าเองก็ขยายเส้นทางออกหลายสายไปยังเขตชานเมืองด้วย เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละวัน การปรับขึ้นราคาค่าโดยสารจะทำให้ผู้โดยสารลดลง จะส่งผลกระทบในระยะแรกๆเท่านั้นแต่มองในแง่ดีที่ว่าสะดวกและเดินทางได้รวดเร็วขึ้นปัญหา ผู้โดยสารก็จะกลับมาใช้เป็นปกติเหมือนเดิมเพราะยังคงจำเป็นอยู่ ด้านผู้ประกอบการก็จะได้ประโยชน์จากการปรับราคาค่าโดยสารเพื่อนำไปพัฒนาส่วนต่อขยาย ซื้อโบกี้หรือหัวรถจักรได้ใหม่ จึงไม่มีผลกับราคาหุ้นของ BTS และ BTSGIF
ขณะเดียวกันจากผลสำรวจล่าสุดทาง IMF หรือธนาคารกลางหลายแห่งเช่นรัสเซีย ตุรกี คาซักสถาน ได้ซื้อทองกักตุนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ทองคำตกลงมา ไว้เป็นทุนสำรอง และกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงในจีนและอินเดียได้เข้าซื้อทองคำแท่งและทองรูปพรรณแข็งแกร่ง จึงทำให้ราคาทองในตลาดโลก อัตราซื้อขายทรอยออนซ์ปรับราคาขึ้นมา อีกส่วนหนึ่งคือทองคำในประเทศที่ปรับขึ้นมาเพราะว่า เพราะราคาเงินบาทเทียบ/ดอลล่าห์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าลงมา ในระยะสั้นจะมีสองปัจจัยนี้เข้ามาสนับสนุน ในส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ สมาคมทองคำโลก ได้วิเคราะห์กันถึงราคาทองคำที่อ่อนลงตัวมาในช่วงหลังเพราะธนาคารกลางยุโรป จะมีการขายทองคำออกมา แต่เป็นภาพชั่วคราวระยะสั้น ภาพรวมระยะกลางถึงระยะยาว มองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นและและมีความต้องการสูงทั้งจีน อินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศนี้มีอัตราการบริโภคทองคำสูงเกินครึ่งหนึ่งของโลก และเศรษฐกิจของจีนมีอัตราเติบโตที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นความเสี่ยงในการลงทุนทองคำจึงมีไม่มาก เพียงแต่ว่าในลักษณะของการปรับขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น นักลงทุนก็อาจจะไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น มากกว่าในช่วงระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าหุ้นมีราคาแพงมากๆ นักลงทุนก็จะกลับมาลงทุนในทองคำอีก
อย่างไรก็ตามความกังวลในราคาทองคำจะยังคงแกว่งตัวออกด้านข้างไปก่อน ซึ่งทองคำในประเทศยังคงต้องดูอัตราค่าเงินบาท ถ้าเงินบาทแข็งค่าก็จะกดให้ราคาทองคำลดลงโดยอัตโนมัติ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าลงจึงส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นไปได้ สรุปสั้นๆในระยะกลางและระยะยาวจะดีกว่านี้แน่นอน
ทั้งนี้มุมมองของแนวต้านจะอยู่ที่ 1,590 จุด -1,600 จุด ส่วนแนวต้านถัดไปคือ 1,610 จุด -1,620 จุด ส่วนแนวรับที่ต้องระวังคือ 1,555 ถ้าหากจังหวะที่ลงมาถึงจุดนี้นักลงทุนที่อยากซื้อก็จะสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาเหมาะสมได้ แต่ถ้าหลุดแนวรับ 1,555 นี้ไปแล้ว นักลงทุนที่มีหุ้นเยอะ มีเงินน้อย แนะนำให้ลดพอร์ตการลงทุนลง หรือนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น ควรพักการลงทุนไปก่อน
ในส่วนกลุ่มที่น่าสนใจคือหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสื่อสารโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสื่อสารได้มีการปรับราคาขึ้นมาในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจต้องรอจังหวะซื้อ ถือได้ว่ามั่นคงและปันผลดี สุดท้ายคือหุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก ตัวเด่นคือ SPCG