“เศรษฐพุฒิ” ชำแหละโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท กับอนาคตประเทศไทย หากไม่อยากเป็นอย่างกรีซต้องลดสร้างภาระหนี้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ประเทศมีโอกาสล้มทั้งยืน
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานกรรมการบริหารสถาบันอนาคตไทยศึกษา เปิดเผยว่า วันที่ 24 เมษายน 2556 นี้ สถาบันฯ ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดสัมมนาเรื่อง “โครงการ 2 ล้านล้านกับอนาคตประเทศไทย” โดยเบื้องต้น สถาบันฯ จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “เราจะเป็นกรีซในอนาคตหรือไม่ : 7 คำถามควรรู้เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ” โดยมีข้อสรุปว่าเพื่อไม่ให้กลายเป็นกรีซในอนาคตควรทำอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ 1.รัฐบาลควรเลิกนโยบายประชานิยมในแบบที่ไม่จำกัดวงเงินงบประมาณ เพราะมีความเสี่ยงต่อภาระหนี้สูงกว่าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เพราะโครงการประชานิยม เช่น โครงการจำนำข้าว ไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดโครงการเมื่อใด และจะก่อให้เกิดความเสียหายเป็นภาระของรัฐบาลมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังยากต่อการประเมินความคุ้มค่าโครงการเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆ อีกด้วย
2.หากจะลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รัฐควรจะลดขนาดการกู้ยืมลง เพราะถ้าภาระหนี้สูงเกินไป หากเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงรัฐบาลจะมีความสามารถในการรับมือได้น้อยลง นอกจากนี้ การจำกัดวงเงินกู้ให้เล็กลงจะทำให้รัฐต้องจัดลำดับความสำคัญว่าโครงการใดมีความจำเป็น และคุ้มค่าสมควรได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นลำดับต้นๆ 3.โครงการภาครัฐต่างๆ ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ควรมีระบบตรวจสอบและประเมินผล รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลแบบโปร่งใส โดยระบบตรวจสอบจะต้องเริ่มติดตามตั้งแต่ระยะเริ่มต้นโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ จนถึงเสร็จสิ้นโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการนั้นคุ้มค่าต่อการลงทุน และไม่ก่อภาระหนี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการติดตามตรวจสอบโครงการ
4.ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้นให้มากขึ้น และหาทางเพิ่มรายได้ในอนาคต เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยมีแต่การก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้น แต่แทบไม่มีการชำระคืนเงินต้นในปีงบประมาณ 2556 มีการชำระเงินต้นเพียงร้อยละ 0.8 ของยอดหนี้คงค้างเท่านั้น ที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศจะมีความสามารถในการชำระภาระหนี้ได้ รัฐบาลควรมีแผนการที่จะเพิ่มรายได้เพื่อลดภาระหนี้ลง เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือการขยายฐานภาษี เพราะปัจจุบัน รายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บได้แทบทั้งหมดก็ถูกนำมาใช้เป็นรายจ่ายประจำเท่านั้น 5.ต้องสร้างกลไกความรับผิดรับชอบที่ชัดเจนตั้งแต่กระบวนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การอนุมัติโครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง ไปจนถึงการดำเนินโครงการนั้น จะต้องมีผู้รับผิดรับชอบที่ชัดเจน และมีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษเมื่อเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจากเจตนาทุจริต หรือจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ประธานกรรมการบริหารสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวด้วยว่า หนี้สาธารณะที่เห็นในข่าวตามที่กระทรวงการคลังรายงาน หมายรวมถึงหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง หนี้ที่กู้โดยรัฐวิสาหกิจ ทั้งที่รัฐบาลค้ำประกัน และไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ที่กู้โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจโดยรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งรวมแล้วประมาณ 5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2555 แต่ยังไม่ได้รวมหนี้ที่มีอีกหลายรายการที่อาจสร้างภาระต่องบประมาณ เช่น หนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน รวมถึงหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองทุนนอกงบประมาณอื่นๆ ซึ่งควรดูภาพรวมของหนี้ที่มีโอกาสจะเป็นภาระต่องบประมาณทั้งหมด เพื่อจะไม่มองข้ามหนี้ซึ่งอยู่ที่หน่วยงานอื่นๆ ที่มีโอกาสจะเป็นภาระของรัฐ เช่น กรณีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่สำรองจ่ายเพื่อใช้ในโครงการจำนำข้าวบางส่วนเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายต่อไปได้ หากรัฐบาลไม่สามารถขายข้าวได้ในราคาที่รับจำนำมา สุดท้ายรัฐบาลก็อาจจะต้องชดเชยความเสียหายให้แก่ ธ.ก.ส. ซึ่งจะกลายเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต
นอกจากนี้ กรณีที่ตั้งข้อสังเกตกันว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะสูงเกินร้อยละ 60 หรือไม่ในอนาคต นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับภาระหนี้ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนว่ามีเงินใช้หนี้เพียงพอหรือไม่มากกว่า เช่น กรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงถึงร้อยละ 224 สูงกว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศกรีซ แต่ที่ยังไม่เกิดวิกฤตการณ์ทางการคลังอย่างในประเทศกรีซ เนื่องจากภาระในการชำระหนี้ของประเทศญี่ปุ่นยังไม่มากนัก ญี่ปุ่นมีภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาลที่ร้อยละ 11 ขณะที่ประเทศกรีซมีภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาลสูงถึงร้อยละ 31 ส่วนเมื่อย้อนกลับมาดูที่ภาระหนี้ของไทยในปัจจุบัน ถือว่ายังไม่น่าเป็นห่วง เพราะงบประมาณชำระคืนหนี้ ซึ่งรวมดอกเบี้ยและเงินต้นของประเทศไทยในปีงบประมาณ 2556 อยู่ที่ประมาณ 180,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.4 ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งลดลงจากร้อยละ 11 ของปีก่อนหน้า แต่ยังมีภาระการคลังที่อาจเกิดจากการดำเนินนโยบายประชานิยม เช่น โครงการรับจำนำข้าว โครงการรถยนต์คันแรก รวมถึงโครงการสินเชื่อตามนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการ ซึ่งนโยบายประชานิยมเหล่านี้ล้วนมีโอกาสสร้างภาระหนี้ต่องบประมาณในอนาคตได้