“สุรนันทน์” โผล่แจงเงินกู้ 2 ล้านล้าน กระจายโอกาสและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ให้นักลงทุนมั่นใจในการขยายการลงทุนไปตามพื้นที่ต่างๆ หวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น พร้อมผลักดันยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างพื้นฐาน ยันโปร่งใส ตรวจสอบได้
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสถาบันอนาคตไทยศึกษา จัดเสวนา “โครงการ 2 ล้านล้านกับอนาคตประเทศไทย : ความเสี่ยงต่อภาระหนี้” ว่า ในหลายปีที่ผ่านมาทุกฝ่ายเข้าใจว่าการคมนาคมขนส่งของไทยเป็นปัญหาสำคัญ ไม่เฉพาะต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ยังเป็นอุปสรรคในการกระจายโอกาสและความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจไปภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาประเทศไทยเสียเวลาไปมากกับการโต้เถียงกันว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมาก่อนหรือหลังการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในการผลิต หรือการดูแลคนยากจน เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องทำพร้อมกัน ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงตัดสินใจเลือกที่จะทำหน้าที่หลักของรัฐ ที่เอกชนทำไม่ได้ คือ “การวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนเกิดความมั่นใจ” รัฐพร้อมที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการปรับโครงสร้างธุรกิจของภาคเอกชนและการประกอบอาชีพของประชาชน
นายสุรนันทน์กล่าวว่า นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างประเทศ จึงได้เน้น “การนำความมั่นใจในอนาคตมาสู่ประเทศ ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน” เป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้ผลักดันการกำหนดยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเมืองหลัก-เมืองรอง เมืองหน้าด่าน และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนทั่วประเทศให้สอดคล้องกับการลงทุน 2 ล้านล้านบาทด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณและกองทุนต่างๆ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน เพื่อผลักดันการสร้างรายได้ สร้างอาชีพและธุรกิจใหม่ภายใต้สภาพแวดล้อมของการคมนาคมขนส่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้เริ่มทำงานกับภาคเอกชน เพื่อเพิ่มการลงทุนใหม่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยกำลังของภาคเอกชนแล้วยังเป็นการกระจายโอกาสการพัฒนาไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย
เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บทเรียนที่ผ่านมาคือ เมื่อภาคเอกชนไม่มีความมั่นใจก็จะไม่มีการลงทุน ในอนาคตจะมีแผนขยายภาคการผลิต เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมเกษตร และอื่นๆ กระจายไปในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โดยการออก พ.ร.บ. เพราะต้องการให้เกิดความโปร่งใสในเรื่องภาระทางการคลังในอนาคต โดยจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% ของรายได้ประชาชาติ และทุกกิจกรรมภายใต้การลงทุน 2 ล้านล้านบาท จะได้มีการตรวจสอบโดยสภา รวมทั้งยังมีการตรวจสอบติดตามความโปร่งใสของโครงการผ่านช่องทางต่างๆ ตามที่รัฐบาลตั้งใจไว้ เช่น email : mot.transparency@mot.go.th, ตู้ ปณ. 1111 ปณฝ.หลานหลวง กรุงเทพฯ 10102, โทรศัพท์สายตรง 1123 และ www.thaigov.go.th ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรอบที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังในการดำเนินการอย่างเปิดเผย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตลอดการดำเนินโครงการ