xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊ก” ตลาดทุนส่งซิก “เม็ดเงิน” ก้อนใหญ่ในตลาดบอนด์จ่อโยกเข้าตลาดหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สภาธุรกิจตลาดทุนฯ มองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นแรง คาดภาวะกระทิงยังคงอยู่ต่อเนื่องอีก 2-3 ปี หากไม่มีปัญหาการเมือง หรือเกิดวิกฤต ศก. อีกรอบ เผยสัญญาณ ศก.ไทย-โลกดีขึ้น ส่งผลต่อการขึ้น ดบ. อาจได้เห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ 8 แสนล้านจากตลาดบอนด์ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ลั่นหากคิดจะเข้าลุยในช่วงนี้ถือว่ายังไม่สายเกินไป แม้หุ้นไทยจะมีราคาแพง

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยย้ำว่า จะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือเป็นตลาดกระทิงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จะโยกจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้นบนพื้นฐานไม่มีปัญหาทางการเมือง และไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าสภาพคล่องในระบบจะมีจำนวนมากจากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะการอัดฉีดคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่เม็ดเงินเหล่านั้นไหลเข้าตลาดพันธบัตรมากกว่าตลาดหุ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินใหม่ๆ ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 0.5% ขณะที่มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้นปีละกว่า 10% ในเอเชีย และไทยก็มีลักษณะที่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพันธบัตร และตราสารหนี้ต่างๆ จะปรับลดลง จึงมีโอกาสที่จะเห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ หรือ Great rotation จากตลาดตราสารหนี้มายังตลาดหุ้น โดยคาดว่าจะได้เห็นในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า

“สภาพคล่องที่เข้ามามีผลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เข้าตลาดบอนด์ แต่มีแนวโน้มว่าเม็ดเงินเหล่านั้นจะโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสที่หุ้นไทยจะทะลุจุดสูงสุดเดิมที่อยู่ที่ 1,798 จุดในช่วงที่มีการโยกเงิน แม้ว่าในอนาคต เฟดจะหยุดอัดฉีดคิวอี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นในช่วงแรก แต่ในระยะต่อไปตลาดหุ้นก็ยังปรับขึ้นได้จากความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และจากเม็ดเงินที่จะโยกจากตลาดบอนด์เข้ามาในตลาดหุ้น”

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง และยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าลงทุน แม้ว่าปัจจุบันดัชนีจะปรับขึ้นสูงมาก แต่ก็มีปัจัยพื้นฐานรองรับโดยเฉพาะการเติบโตของกำไร บจ. หรืออีพีเอส (EPS) ที่เติบโตในระดับที่ไกล้เคียงกับดัชนี เห็นได้จากเมื่อเทียบกับปี 2552 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมา 107% แต่กำไร บจ.ก็เติบโตในระดับ 99% ขณะที่เมื่อเทียบกับปี 2554 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 49% กำไร บจ.ปรับขึ้น 40%

นายไพบูลย์ มองว่า เงินทุนที่เข้ามาในตลาดหุ้นรอบนี้ตนเองขอยืนยันว่ามาดี โดยเข้าซื้อในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น กลุ่มสื่อสาร อาหาร ธนาคาร และพลังงาน และขายในกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นแรง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพาณิชย์ ก่อสร้าง และท่องเที่ยว เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น