ผู้ถือหุ้นปูนใหญ่ไฟเขียว ออกหุ้นกู้อีก 5 หมื่นล้าน “กานต์” เชื่อปีนี้ปิโตรเคมีกลับมาฟื้นดันรายได้ในธุรกิจนี้ ทั้งในส่วนของบริษัท และกิจการกลับมาเติบโตจากสเปรดที่ดีขึ้น
การประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) วานนี้ (27 มี.ค.)ในวาระที่ 7 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้ SCC ออก และเสนอขายหุ้นกู้โดยเพิ่มวงเงินอีก 50,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท ด้วยเสียงเห็นชอบ 99% ของจำนวนสิทธิทั้งหมด
ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร SCC ชี้แจงว่า เงินจำนวนดังกล่าวมีแผนจะใช้ในการขยายธุรกิจทั้งประเทศไทย และในอาเซียน โดยบริษัทจะทยอยออกหุ้นกู้เพื่อชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งในเดือน เม.ย. บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า แนวโน้มสเปรดปิโตรเคมีในปี 2556 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 430 เหรียญ/ตัน โดยพบว่า แนวโน้มสเปรด HDPE กับแนฟทาดีขึ้นจากไตรมาส 4/55 ที่อยู่ในระดับ 449 เหรียญ/ตัน มาอยู่ที่ 520 เหรียญ/ตัน ในไตรมาส 1 และล่าสุด เพิ่มมาเป็น 527 เหรียญ/ตัน ขณะที่สเปรดโพรพิลีน กับแนฟทาในไตรมาส 1 อยู่ที่ 590 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/55 ที่อยู่ 519 เหรียญสหรัฐ/ตัน อันเป็นผลมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
“ปี 54 เรามีกำไรจากธุรกิจเคมิคอล 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกำลังของบริษัท 5.7 พันล้านบาท และอีก 5.5 พันล้านบาท มาจากกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมลงทุน แต่ธุรกิจอยู่ในแนวโน้มขาลงทำให้กำไรรวมทั้งปี 55 ของธุรกิจเคมิคอลอยู่ที่ของบริษัทอยู่ที่ 3,296 ล้านบาท และการลงทุนผ่านบริษัทร่วมทุนมีผลขาดทุน 606 ล้านบาท ภาพรวมจากแนวโน้มความต้องการ เราเชื่อว่าปิโตรเคมิคอลเริ่มฟื้นตัว และจะดีขึ้นในช่วงนี้”
ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรบ้าง โดยเงินบาทที่แข็งค่าทุก 1 บาท จะกระทบกำไรไม่ถึง 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเป็นผู้ส่งออกมากกว่าการนำเข้าวัตถุดิบ จึงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ ซึ่ง SCC ได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ราว 70-80% แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
สำหรับการเข้าถือหุ้น 85% ในบริษัท Prime Group Join Stock Company ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเซรามิกรายใหญ่ในเวียดนาม ได้บรรลุข้อตกลงเมื่อเดือน ธ.ค.55 และจะชำระเงินค่าหุ้นภายในเดือน มี.ค.นี้ ใช้เงินลงทุนราว 7,000 ล้านบาท และตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป บริษัทจะรับรู้รายได้จากการซื้อหุ้นดังกล่าว โดย Prime Group มีรายได้ 5,000-6,000 ล้านบาท/ปี
การประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) วานนี้ (27 มี.ค.)ในวาระที่ 7 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้ SCC ออก และเสนอขายหุ้นกู้โดยเพิ่มวงเงินอีก 50,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท ด้วยเสียงเห็นชอบ 99% ของจำนวนสิทธิทั้งหมด
ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร SCC ชี้แจงว่า เงินจำนวนดังกล่าวมีแผนจะใช้ในการขยายธุรกิจทั้งประเทศไทย และในอาเซียน โดยบริษัทจะทยอยออกหุ้นกู้เพื่อชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งในเดือน เม.ย. บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า แนวโน้มสเปรดปิโตรเคมีในปี 2556 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 430 เหรียญ/ตัน โดยพบว่า แนวโน้มสเปรด HDPE กับแนฟทาดีขึ้นจากไตรมาส 4/55 ที่อยู่ในระดับ 449 เหรียญ/ตัน มาอยู่ที่ 520 เหรียญ/ตัน ในไตรมาส 1 และล่าสุด เพิ่มมาเป็น 527 เหรียญ/ตัน ขณะที่สเปรดโพรพิลีน กับแนฟทาในไตรมาส 1 อยู่ที่ 590 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/55 ที่อยู่ 519 เหรียญสหรัฐ/ตัน อันเป็นผลมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
“ปี 54 เรามีกำไรจากธุรกิจเคมิคอล 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกำลังของบริษัท 5.7 พันล้านบาท และอีก 5.5 พันล้านบาท มาจากกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมลงทุน แต่ธุรกิจอยู่ในแนวโน้มขาลงทำให้กำไรรวมทั้งปี 55 ของธุรกิจเคมิคอลอยู่ที่ของบริษัทอยู่ที่ 3,296 ล้านบาท และการลงทุนผ่านบริษัทร่วมทุนมีผลขาดทุน 606 ล้านบาท ภาพรวมจากแนวโน้มความต้องการ เราเชื่อว่าปิโตรเคมิคอลเริ่มฟื้นตัว และจะดีขึ้นในช่วงนี้”
ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรบ้าง โดยเงินบาทที่แข็งค่าทุก 1 บาท จะกระทบกำไรไม่ถึง 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเป็นผู้ส่งออกมากกว่าการนำเข้าวัตถุดิบ จึงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ ซึ่ง SCC ได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ราว 70-80% แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
สำหรับการเข้าถือหุ้น 85% ในบริษัท Prime Group Join Stock Company ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเซรามิกรายใหญ่ในเวียดนาม ได้บรรลุข้อตกลงเมื่อเดือน ธ.ค.55 และจะชำระเงินค่าหุ้นภายในเดือน มี.ค.นี้ ใช้เงินลงทุนราว 7,000 ล้านบาท และตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป บริษัทจะรับรู้รายได้จากการซื้อหุ้นดังกล่าว โดย Prime Group มีรายได้ 5,000-6,000 ล้านบาท/ปี
