อาจารย์ด้านการเงินจากสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ เผยปัจจัยบวก-ลบกระทบสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปี 2556 ย้ำขึ้นอยู่กับการลงทุนจากต่างชาติ และปัจจัยพื้นฐานด้านผลประกอบการของธุรกิจ พร้อมแนะนักลงทุนหน้าใหม่ลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ และสร้างกำไรจากการลงทุนระยะยาว
ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ อาจารย์ประจำสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) เปิดเผยถึงสถานการณ์ของตลาดทุนไทยว่า ปีที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวสูงขึ้น คือ นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นในไทยเพิ่มขึ้น และปัจจัยพื้นฐานบริษัทในประเทศไทยที่มีผลประกอบการดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมามีผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของตลาดในปี 2556 นี้ ขึ้นกับ 2 ปัจจัยคือ ถ้ามีการลงทุนในตลาดหุ้นจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ และปัจจัยพื้นฐานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีกว่าปีที่ผ่านมา เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นในภาพรวมของปีนี้มีการขยายตัวและหุ้นมีราคาสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ถ้าปัจจัยทั้ง 2 อย่างนี้ตรงกันข้ามก็จะทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาได้เช่นกัน เช่น หากชาวต่างชาติมีการถอนเงินการลงทุนออกจากหุ้นไทยไปลงทุนตลาดหุ้นในประเทศอื่นแทนก็จะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นในประเทศไทย
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น ต้องให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงโดยกระจายลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว อย่างน้อย 12 ตัว เพราะถ้าหุ้นตัวหนึ่งตกหนักก็จะมีผลกระทบไม่มาก หรืออาจลงทุนในกองทุนดัชนี SET 50 ที่ประกอบไปด้วย หุ้นของ 50 บริษัทแรกของประเทศไทยที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด รวมทั้งอาจแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ได้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อีกวิธีหนึ่ง และที่สำคัญไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไปและหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาสูงเกินมูลค่าพื้นฐานที่มีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี เรโช)สูงเกิน 40 เท่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ออกมาเตือนนักลงทุนก่อนหน้านี้
ดร.ชนวีร์ เปิดเผยเพิ่มเติมถึงข้อแนะนำในการลงทุนว่า ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้นภายในวันเดียว เพราะราคาหุ้นแต่ละวันมีความผันผวน ควรกระจายความเสี่ยงโดยแบ่งเงินเป็น 3-4 ส่วน และทยอยนำมาลงทุนโดยแยกลงทุนแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ละหนึ่งส่วนแทน อีกทั้งอาจเลือกลงทุนในกองทุนที่สามารถลดความเสี่ยงได้ ถ้านักลงทุนต้องใช้สินค้าโภคภัณฑ์ชนิดไหนในอนาคตก็ควรลดความเสี่ยงโดยการลงทุนกับสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนั้น ตัวอย่างเช่น ลงทุนบางส่วนในกองทุนน้ำมันเพราะทุกคนจำเป็นต้องใช้น้ำมันในอนาคต ดังนั้น หากลงทุนกับกองทุนดังกล่าวเมื่อน้ำมันแพงก็จะได้กำไรจากกองทุนมาชดเชยกับรายจ่ายค่าน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าน้ำมันราคาตกถึงแม้ว่ากองทุนน้ำมันจะขาดทุนแต่นักลงทุนก็จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะรายจ่ายค่าน้ำมันก็จะลดลงไปด้วย โดยทั้งนี้ต้องถือกองทุนดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสม
ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่ แนะนำว่าควรลงทุนแบบระยะยาว โดยทั้งนี้ต้องประมาณการระยะเวลาที่มีในการลงทุน ถ้ามีเวลา 10 ปีขึ้นไปที่ยังไม่ต้องใช้เงินก้อนนั้นก็สามารถนำไปลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนที่มากได้ เพราะผลตอบแทนในระยะยาวจะคุ้มกับการลงทุน และการลงทุนในระยะยาวจะมีอัตราความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นจะไม่มีผล การลงทุนในตลาดหุ้นควรลงทุนในกองทุนดัชนี SET 50 แต่ถ้ามีระยะเวลาลงทุนน้อยกว่า 10 ปีก็ควรลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีระยะเวลาลงทุนสั้นมากน้อยกว่า 1 ปี ก็ควรลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นอาจจะทำให้ขาดทุนได้ในช่วงสั้น สำหรับกองทุนที่มีความเสี่ยงน้อยคือ กองทุนพันธบัตรรัฐบาล แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยแต่ผลตอบแทนก็น้อย การลงทุนบางส่วนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศก็เป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในการเลือกกองทุนนักลงทุนต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมการซื้อขายหน่วยลงทุนด้วย เพราะถ้ามีค่าสูงจะทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนในระยะเวลาสั้น