xs
xsm
sm
md
lg

คลังจับตาบาทบีบ ธปท. หวั่นส่งออกฉุดจีดีพีร่วง-ผวาหลุด 28 บาท/ดอลลาร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลังจับตาค่าเงินบาทใกล้ชิดหวั่นแข็งค่ามากกว่าภูมิภาคทำส่งออกสะดุด และอาจกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ระบุจีดีพีอาจโตต่ำกว่าเป้าหมาย 5% เล็งปรับประมาณการใหม่สิ้นเดือนมีนาคมนี้ ประสานเสียง “โต้ง” ขย่มแบงก์ชาติใช้นโยบายการเงินเข้าดูแลก่อนหลุด 28 บาทต่อดอลลาร์

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สศค.กำลังจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาค โดยพบว่า ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่า และเร็วกว่าสกุลเงินอื่นๆ จริง ทำให้อาจจะเกิดปัญหาต่อภาคการส่งออกของไทยตามมา จากที่ประเมินการขยายตัวของการส่งออกปีนี้ไว้ที่ระดับ 10% หรือขอกระทรวงพาณิชย์ที่ประเมินไว้ในระดับ 9% อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยหากค่าเงินแข็งขึ้นทุก 1% จะกระทบการส่งออกลดลงถึง 0.3% ซึ่งขณะนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 5%

อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่เคลื่อนไหวในขณะนี้ที่ 29 บาทต่อดอลลาร์นั้นถือว่ายังอยู่ในช่วงการคาดการณ์ของ สศค. ที่ประเมินไว้ทั้งปีระหว่าง 28.70-30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือมีค่ากลางที่ 29.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเงินบาทลงมาอยู่ต่ำกว่าค่ากลาง หรือแตะ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็คงส่งผลกระทบต่อการส่งออก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ โดยอาจจะไม่ได้ขยายตัวในระดับ 5% ตามที่คาดการณ์ไว้เดิม โดย สศค. อยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขจีดีพี และจะมีการประกาศอีกครั้งในสัปดาห์หน้า และขณะนี้ยังไม่ได้มองภาพในแง่ร้ายขนาดที่จีดีพีจะปรับลดลงเหลือ 3% อย่างที่ภาคเอกชนมีการประเมินกันใหม่แล้ว

“ยอมรับว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทน่าเป็นห่วงผู้เกี่ยวข้องต้องเข้าไปดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็ว และมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะจะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกตามมา โดยส่วนของมาตรการการคลังที่มีอยู่ก็ทำเกือบหมดแล้วทั้งการส่งเสริมการออกไปลงทุน การเร่งชำระหนี้ ทางด้านมาตรการการเงินทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปอีก โดยคงต้องติดตามว่าผลของมาตรการต่างๆ จะส่งผลหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังโชคดีที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังดีแม้เงินบาทแข็งก็กระทบให้ส่งออกลดลงเพียง 0.1-0.3% หากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าแย่ลงจะส่งผลกระทบหนักกว่า” นายสมชัยกล่าว

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ได้ให้แนวทางสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ในการออกพันธบัตรระดมทุนเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนั้น ในช่วงแรกๆ ควรออกพันธบัตรขายให้นักลงทุนในประเทศก่อน และน่าจะเป็นพันธบัตรอายุไม่ยาวนักประมาณ 3-5 ปี เช่น พันธบัตรออมทรัพย์ เพราะหากขายให้นักลงทุนสถาบัน หรือต่างชาติที่ชอบลงทุนระยะยาว 10-20-30 ปี จะยิ่งทำให้มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาเพื่อแลกเงินบาทลงทุนในพันธบัตร ก็จะยิ่งกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก และหากจะจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ให้ประชาชนในประเทศก็ไม่ถือว่าน่าเสียดาย

“แม้กฎหมายเปิดช่องให้กู้เงินต่างประเทศมาลงทุนได้ แต่เป้าหมายคงใช้เงินออมในประเทศทั้งหมดที่มีกองอยู่ที่ ธปท.ถึง 3.1 ล้านล้านบาท เพราะการไปออกพันธบัตรต่างประเทศ หรือบาทบอนด์ก็จะยิ่งทำให้มีเงินไหลเข้ามากดดันเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นไปอีก” นายกิตติรัตน์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น