xs
xsm
sm
md
lg

นักเศรษฐศาสตร์ห่วงแผนกู้ 2.2 ล้านล้าน หนี้สาธารณะท่วม นำประเทศไปสู่ความเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักเศรษฐศาสตร์ค้านออก พ.ร.บ.เงินกู้ หวั่นปัญหาหนี้สาธารณะพุ่งเกิน 60% ของจีดีพี นำประเทศไปสู่ความเสี่ยง หากเจอวิกฤตเศรษฐกิจ หรือฟองสบู่แตกอาจล้มทั้งยืน เตือนรัฐอาจขาดสภาพคล่อง เนื่องจากต้องใช้จ่ายในโครงการประชานิยมอื่นๆ ร่วมด้วย แนะทำตัวชี้วัดทั้งเชิงปริมาณ และด้านสังคม พร้อมเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะเพื่อให้ตรวจสอบได้ ส่วนปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน 88% ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้ได้จริง

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 33 แห่ง จำนวน 60 คน เรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์ตั้ง KPI โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 13-18 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา โดยพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.7 อยากให้รัฐบาลดำเนินการลงทุนด้วยวิธีการอื่นๆ มากกว่าการออก พ.ร.บ. กู้เงิน เนื่องจากเป็นห่วงปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะที่ร้อยละ 25.0 เห็นว่า การดำเนินการด้วยการออก พ.ร.บ. กู้เงินเป็นวิธีการที่เหมาะสมแล้ว แม้ว่าอาจนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ บ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หรือทำไปตามกรอบเดิมๆ หรือตามกรอบงบประมาณที่มี

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในระยะ 7 ปีข้างหน้าเป็นโครงการที่ดี และมีประโยชน์ คือ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 96.6 ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างความได้เปรียบรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และร้อยละ 81.6 เห็นว่า สภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบันถึง 7 ปีข้างหน้า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระดมทุนเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นปัญหาสำหรับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน คือ ปัญหาหนี้สาธารณะ และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยในส่วนของปัญหาหนี้สาธารณะนั้น ร้อยละ 60.0 เห็นว่า เป็นสิ่งที่น่ากังวลเนื่องจากหนี้สาธารณะอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ต่อจีดีพี หากประเทศเจอวิกฤตเศรษฐกิจ หรือฟองสบู่แตก รวมถึงรัฐบาลอาจขาดสภาพคล่อง เนื่องจากต้องใช้จ่ายในโครงการประชานิยมอื่นๆ ร่วมด้วย

ขณะที่ร้อยละ 21.7 เห็นว่า ไม่น่าเป็นกังวล เพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังต่ำ อีกทั้งเป็นการกู้ภายในประเทศ และการลงทุนจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้น และช่วยให้แข่งขันได้ดีขึ้น ในส่วนของความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลว่าจะดูแลปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่อาจเกิดขึ้นในโครงการนี้ได้ดีเพียงใดนั้น ร้อยละ 88.3 บอกว่าไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย ในจำนวนนี้ ร้อยละ 48.3 เชื่อว่า คงมีการทุจริตอยู่ในระดับที่สูงกว่าโครงการทั่วไป

อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจริงใน 7 ปีข้างหน้า นักเศรษฐศาสตร์คาดหวังว่า ผลจากการลงทุนจะช่วยให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 38 ในปัจจุบัน มาอยู่ที่อันดับ 30 และขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 46 มาอยู่ที่อันดับ 32 อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 18 มาอยู่ที่อันดับ 15 ความสะดวกในด้านการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 20 มาอยู่ที่อันดับ 16 ต้นทุนลอจิสติกส์ต่อจีดีพีลดลงจากร้อยละ 15.2 เหลือเพียงร้อยละ 13.2 และมีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้นโดยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนี ลดลงจาก 0.48 เหลือ 0.46

สำหรับตัวชี้วัด (KPI) อื่นๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการให้รัฐบาลตั้งไว้วัดผลสัมฤทธิ์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คือ รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดความก้าวหน้าของแต่ละโครงการ การเบิกจ่ายเงิน อัตราผลตอบแทนของโครงการ และการชำระหนี้เงินกู้อย่างสม่ำเสมอต่อสาธารณะ มีตัวชี้วัดทางสังคมที่บ่งชี้ถึงความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทในมิติต่างๆ เช่น รายได้ต่อหัว การจ้างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการกระจุกตัวของเมืองหลวง ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตโดยมูดี้ส์ และเอสแอนด์พี
กำลังโหลดความคิดเห็น