ต่างชาติหวั่นภาครัฐแทรกแซงแบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ย สกัดเงินไหลเข้า หลังมีข่าวลือเกิดความขัดแย้ง แห่เทขายสุทธิอีก 3 พันล้าน กดหุ้นไทยผันผวน โบรกฯ แนะจับตาผลประชุม ECB และการขายพันธบัตรสเปนเป็นตัวชี้วัดดัชนีหุ้นจะลง หรือปรับตัวขึ้นต่อ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7 ก.พ.) ดัชนียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ หลังจากปรับตัวบวกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ โดยปิดที่ระดับ 1,499.81 จุด ลดลง 0.54 จุด หรือ -0.04% มูลค่าการซื้อขาย 58,318.43 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,502.89 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,482.64 จุด
ภาพรวมหุ้นไทยได้รับอิทธิพลจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน จากความกังวลปัญหาในยุโรป นอกจากนี้ ยังกังวลว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอลงทุน อีกทั้งยังมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ภาครัฐอาจเจ้ามาแทรกแซง เป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นในขณะนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังเฝ้าติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อรอฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป และรอดูการประมูลพันธบัตรสเปนที่จะเกิดขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ปรับตัวลดลงถ้วนหน้า
โดยการซื้อขายสุทธิแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ยังขายสุทธิต่อเนื่องออกมาเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าขายสุทธิ 3,012.37 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 279 หลักทรัพย์ ลดลง 373 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 155 หลักทรัพย์ ส่วหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,445.18 ล้านบาท ปิดที่ 355.00 บาท ลดลง 6.00 บาท BJC มูลค่าการซื้อขาย 3,225.10 ล้านบาท ปิดที่ 89.25 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,263.72 ล้านบาท ปิดที่ 207.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,689.78 ล้านบาท ปิดที่ 76.00 บาท ลดลง 1.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,615.04 ล้านบาท ปิดที่ 165.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามคือ การประชุม ECB ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม แต่สิ่งที่อยากจะรอดูคือ ทิศทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้ามาจับตาดูหุ้นที่ขึ้นมาอย่างร้อนแรง และนักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการมองกันว่า นักลงทุนต่างชาติจะเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นผู้ขายหรือไม่ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากขณะนี้จะเห็นว่า มีสัญญาณความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงการคลัง กับแบงก์ชาติ ทำให้มองกันว่ารัฐฯ พยายามจะแทรกแซงหรือเปล่า
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยผันผวน เนื่องจากรับอิทธิพลจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่นักลงทุนมีความกังวลปัญหาในยุโรป จากประเด็นการเมืองในสเปน และอิตาลี ที่อาจจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ และอาจจะไปกระทบต่อความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน และบางส่วนที่ถือหุ้นอยู่ก็มีขายทำกำไรออกมา และหมุนเงินไปที่ตลาดตราสารหนี้เพื่อทำกำไร เนื่องจากหากมีการลดดอกเบี้ยจริงก็จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และอาจขาดทุนได้
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (8 ก.พ.) ดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,480-1,510 จุด ต้องรอดูผลการประชุม ECB และการประมูลพันธบัตรของสเปนด้วย
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7 ก.พ.) ดัชนียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ หลังจากปรับตัวบวกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ โดยปิดที่ระดับ 1,499.81 จุด ลดลง 0.54 จุด หรือ -0.04% มูลค่าการซื้อขาย 58,318.43 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,502.89 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,482.64 จุด
ภาพรวมหุ้นไทยได้รับอิทธิพลจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน จากความกังวลปัญหาในยุโรป นอกจากนี้ ยังกังวลว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอลงทุน อีกทั้งยังมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ภาครัฐอาจเจ้ามาแทรกแซง เป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นในขณะนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังเฝ้าติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อรอฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป และรอดูการประมูลพันธบัตรสเปนที่จะเกิดขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ปรับตัวลดลงถ้วนหน้า
โดยการซื้อขายสุทธิแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ยังขายสุทธิต่อเนื่องออกมาเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าขายสุทธิ 3,012.37 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 279 หลักทรัพย์ ลดลง 373 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 155 หลักทรัพย์ ส่วหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,445.18 ล้านบาท ปิดที่ 355.00 บาท ลดลง 6.00 บาท BJC มูลค่าการซื้อขาย 3,225.10 ล้านบาท ปิดที่ 89.25 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,263.72 ล้านบาท ปิดที่ 207.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,689.78 ล้านบาท ปิดที่ 76.00 บาท ลดลง 1.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,615.04 ล้านบาท ปิดที่ 165.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามคือ การประชุม ECB ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม แต่สิ่งที่อยากจะรอดูคือ ทิศทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้ามาจับตาดูหุ้นที่ขึ้นมาอย่างร้อนแรง และนักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการมองกันว่า นักลงทุนต่างชาติจะเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นผู้ขายหรือไม่ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากขณะนี้จะเห็นว่า มีสัญญาณความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงการคลัง กับแบงก์ชาติ ทำให้มองกันว่ารัฐฯ พยายามจะแทรกแซงหรือเปล่า
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยผันผวน เนื่องจากรับอิทธิพลจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่นักลงทุนมีความกังวลปัญหาในยุโรป จากประเด็นการเมืองในสเปน และอิตาลี ที่อาจจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ และอาจจะไปกระทบต่อความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน และบางส่วนที่ถือหุ้นอยู่ก็มีขายทำกำไรออกมา และหมุนเงินไปที่ตลาดตราสารหนี้เพื่อทำกำไร เนื่องจากหากมีการลดดอกเบี้ยจริงก็จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และอาจขาดทุนได้
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (8 ก.พ.) ดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,480-1,510 จุด ต้องรอดูผลการประชุม ECB และการประมูลพันธบัตรของสเปนด้วย