“สีเบเยอร์” ปลื้มปี 55 ผลประกอบการฉลุยตามยอด 4,000 ล้านบาท พร้อมรุกต่อด้วยกลยุทธ์ “5 Innovation” สานฝันภารกิจ “เป็นหนึ่งในใจผู้บริโภค” และ “ผู้นำทุกเซกเมนต์” หลังเป็นเจ้าตลาด “สีทาไม้” มากว่า 50 ปี ปี 2556 นี้ ลุยต่อเรื่อง “สีทาอาคาร” หลังมีตัวเลขเติบโตต่อเนื่อง ด้วยกระแส “สีซุปตาร์-สีพี่เบิร์ด” พร้อมกับ “ภาวะโลกร้อน” โดยจะทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ตั้งเป้าเปิดศูนย์ผสมสีเบเยอร์คัลเลอร์ดีไซน์ให้ได้ 1,500 ร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชัน และกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี ชี้เป้าสั้น “หนึ่งในใจผู้บริโภค” ส่วนเป้าหมายระยะยาวจะก้าวเป็นผู้นำทุกเซกเมนต์
นายวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ รองประธานบริหารกลุ่มบริษัทเบเยอร์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งการเติบโตของตลาดสี โดยเฉลี่ยเติบโตสูงขึ้น 20% และคาดการณ์ว่าปี 2556 จะเติบโตขึ้นอีก 12-15% โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 16,000-17,000 ล้านบาท ซึ่งการกระโจนเข้าสู่สมรภูมิการแข่งขันในหลากหลายแบรนด์จะนำไปสู่การพัฒนาในทุกด้าน ทั้งตัวผลิตภัณฑ์, โปรโมชัน รวมถึงการสร้างจุดแข็งของแบรนด์ ซึ่งยุคนี้เป็นยุคฉลาดเลือก ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้เอง
ดังนั้น การแข่งขันทางการตลาดจะเน้นการสร้าง Brand Image และความชัดเจน Brand Positioning มากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความอยู่รอด และการก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้นำในตลาดโดยในปี 2556 นี้ “สีเบเยอร์” เน้นหนักด้วย “5 กลยุทธ์นวัตกรรม” เพื่อครองความเป็นที่ 1 ในใจผู้บริโภค และตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2555 โดย “5 กลยุทธ์นวัตกรรม” ประกอบด้วย
1.Product Innovation โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเบเยอร์จะต้องมีความ Differentiation ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Innovation for Better Living” พัฒนานวัตกรรมที่แตกต่างตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย เพื่อประโยชน์ที่ใช้งานได้จริงของผู้บริโภค บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และโลกใบนี้ โดยสีเบเยอร์มีกว่า 30 โปรเจกต์ใน Pipeline ที่จะพัฒนาออกมาภายใต้ 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ 1.Decorative Paint (กลุ่มผลิตภัณฑ์สีกันร้อน BegerCool series ด้วยนวัตกรรมไมโครสเฟียร์เซรามิกซ์ที่ใช้ในองค์การนาซาสู่นวัตกรรมสีกันร้อนเพื่อบ้านเย็นสมบูรณ์แบบ, สีทำความสะอาดตัวเอง BegerShield ด้วย Teflon Technology ให้บ้านคุณคงความสวยงาม ฟิล์มสีทนทานไม่หวั่นไม่ว่าน้ำจะท่วมอีกกี่ครั้ง บ้านจะสวยเหมือนใหม่ทุกองศา ทนทาน ทนนาน, สีฟอกอากาศ BegerShiled PhotoClean ครั้งแรกแห่งเอเชียแปซิฟิกกับเทคโนโลยีโฟโต้คะตาลิส ช่วยสลายมลพิษเพื่ออากาศบริสุทธ์ภายในบ้าน, Woodcare Products กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาเนื้อไม้ Heavy duty Coating + Construction Chemical, กลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรม และเคมีภัณฑ์ Industrial และ Effect Paint ผลิตภัณฑ์ BegerShield Art Effects สีสร้างเอฟเฟกต์นำเข้าจากอิตาลีที่ออกมาตอบสนองความต้องการที่แตกต่าง สะท้อนรสนิยมศิลป์ของเจ้าของบ้านแบบมีเอกลักษณ์) โดยทั้งหมดนี้จะทยอยออกมาตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
2.Channel Innovation Classify ผสานการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายตามลักษณะทางธุรกิจ และบริหารจัดการแบบ Customization ในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Wholesales, Traditional Retailer, Modern Retailer และ Projects Expert นอกจากนั้น ยัง Modernize ร้านค้าแบบ Traditional Trade ให้พัฒนาเป็นศูนย์ผสมสีเบเยอร์ คัลเลอร์ดีไซน์ เพื่อตอบสนองรสนิยม และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น โดยจะมีให้ครบ 1,500 ร้านค้า ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยภายในปีนี้
3.Brand Innovation ซึ่งตั้งงบการตลาดปีนี้ ไว้ที่ 10-12% ของยอดขาย โดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การโฆษณา, การประชาสัมพันธ์องค์กร, การส่งเสริมการขายในระดับร้านค้า และผู้บริโภค ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคม ตอกย้ำปณิธานผู้นำแบรนด์นวัตกรรม “Not just a paint maker but the Innovation creator” ใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบ IMC ผ่านสื่อโฆษณาหลากมิติ เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของตลาดทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ โดยในปีนี้สีเบเยอร์จะให้ความสำคัญกับ Digital marketing มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารการตลาดบนสื่อ Social network และ Online marketing ตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคดิจิตอล นอกจากนั้น การเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ คุณธงไชย แมคอินไตย์ ภายใต้แคมเปญ “โลกสวยด้วยมือเรา..โลกสวยด้วยสีเบเยอร์” มีกระแสตอบรับดีเกินคาดตั้งแต่หนังโฆษณายังไม่ออกอากาศ ผู้บริโภครับรู้ได้ในสิ่งที่เราพยายามสื่อสารผ่าน Brand Ambassador ซูเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของเมืองไทย ที่มีปณิธาน “รักษ์โลก” เหมือนกันกับสีเบเยอร์
4.Service Innovation มีการขยายการบริการเพื่อสนับสนุนตลาด 2 โปรเจกต์ใหม่ โดยจัดตั้ง Beger Academy สถาบันฝึกอบรมระดับมืออาชีพขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรม ให้ความรู้ สร้างทักษะ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญให้แก่ช่างมืออาชีพ เพื่อนำไปพัฒนาเทคนิคการใช้งานให้มีศักยภาพมากขึ้นเพื่อประโยชน์เชิงคุณภาพงานแก่ผู้บริโภค โดยผู้ที่เข้ารับการอบรมจะสามารถนำชั่วโมงการฝึกอบรมจาก Beger Academy ไป Up credit กับสถาบันการศึกษาได้ในอนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้ง Regional Satellite Engineer จัดให้มีวิศวกรภาคเข้าไปทำหน้าที่บริการหลังการขาย และประสานงานด้านโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค
5.Social Innovation ในปีนี้สีเบเยอร์ยังคงสานต่อปณิธาน โครงการ “สีเบเยอร์หนึ่งผนังรวมพลังสร้างรอยยิ้ม” โครงการดีๆ ที่สีเบเยอร์ก่อตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ปลุกจิตสำนึกของคนไทยให้หันมามอบรอยยิ้มให้คนรอบข้าง รับผิดชอบต่อสังคม, สิ่งแวดล้อม และโลกใบนี้ ภายใต้ 3 แคมเปญหลัก หนึ่งผนังรวมพลังลดโลกร้อนกับสีเบเยอร์คูล, หนึ่งผนังรวมพลังรักษ์สะอาดกับสีเบเยอร์ชิลด์ และหนึ่งผนังรวมพลังพิทักษ์ป่ากับสีย้อมไม้เบเยอร์ โครงการเหล่านี้จะยังคงเดินหน้ามอบรอยยิ้มให้สังคมต่อไป และตอกย้ำปณิธาน “โลกสวยด้วยมือเรา .. โลกสวยด้วยสี เบเยอร์” ต้องขอขอบคุณทุกแรงกาย แรงบันดาลใจ พี่ๆ สื่อมวลชน ศิลปินดารา ผู้ใหญ่ใจดี รวมทั้งน้องๆ อาสาสมัครทุกท่านที่ร่วมเดินทางมากับเราในปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบูรณะศูนย์เยาวชนบางเขน, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือป้อมมหากาฬที่เราได้รับการสนับสนุนจาก กทม. เข้ามาร่วมรณรงค์ทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับเรา ในปีนี้เราจะไปมอบรอยยิ้มกันที่ไหนติดตามกันได้เร็วๆ นี้”
เป้าการขายเติบโต 20%
สำหรับเป้าการเติบโตในปี 56 นายวรวัฒน์ กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าอัตราเติบโตของการขายที่ 20% จากปัจจัยการเติบโตของตลาดอสังหาฯ และกลุ่ม Repaint ที่มีดีมานด์ในตลาดสูงถึง 70% โดยสัดส่วนการขายของสีเบเยอร์ที่ผ่านมา มียอดขายจาก Tradition Trade 65% Modern Trade 20% และ Project 15% ตามลำดับ ซึ่งปีนี้จะเน้นการ Modernize ร้านค้าแบบ Tradition Trade ให้เป็นศูนย์ผสมสีเบเยอร์คัลเลอร์ดีไซน์มากขึ้น ตั้งเป้าไว้ที่ 1,500 ร้านค้า ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ส่วนการเตรียมพร้อมรับตลาด AEC ปัจจุบัน มียอดขาย 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7-8% ทั้งที่บริษัทฯ ยังไม่ได้ทำตลาดในลักษณะ Mass มากนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงศึกษา และพัฒนาช่องทางการตลาด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งไปที่การสร้าง Brand Partnership เป็นลำดับแรกก่อน
“เรื่องค่าแรงอาจกระทบกับต้นทุนบ้าง แต่บริษัทฯ ได้มีการเตรียมพร้อม และปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นผลให้ตรึงราคาสินค้าไว้ได้ แต่ทั้งนี้ ต้องดูแนวโน้มของราคาวัตถุดิบในไตรมาส 2 อีกที และตอนนี้บริษัทฯ กำลังปรับแผนการผลิตโดยเพิ่มสัดส่วนของ Machine Automatic ให้มากขึ้นเพื่อลดภาระความเสี่ยงของปัญหาค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในอนาคต”