บอร์ด KMC อนุมัติปรับสัดส่วนการเพิ่มทุน หวังระดมเงินเพิ่มรองรับแผนลงทุน 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ที่ต้องใช้เงินกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมชดเชยมูลค่าวอร์แรนต์ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึง 20% พร้อมเลื่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ แต่งานนี้ผู้ถือหุ้นไม่ต้องกังวล เหตุไม่กระทบแผนล้างขาดทุนสะสม และการจ่ายปันผล แถม Book Value ยังไม่กระเทือน แต่จะทำให้ได้เงินเพิ่มที่จะสามารถรองรับการเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องเพิ่มทุนอีก
นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เลื่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2556 จากวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมีการแก้ไขวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ประกอบด้วย การปรับสัดส่วนการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นเดิม จาก 4 ต่อ 5 เป็น 1 ต่อ 2 ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 4,486.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์ 20 บาท) และการปรับสัดส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 3 (KMC-W3) ที่จะให้โดยไม่คิดมูลค่าแก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ จากเดิมในอัตรา 5 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 3 วอร์แรนต์ และอัตราใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 0.75 บาท เป็น 7 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 4 วอร์แรนต์ และอัตราใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 0.60 บาท
ทั้งนี้ กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิในการเพิ่มทุน และรับวอน์แรนต์ในวันที่ 18 มีนาคม 2556 และกำหนดวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน 2556 คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติปรับการลดพาร์เพื่อลดส่วนต่ำมูลค่าหุ้น และลดขาดทุนสะสมจาก 20 บาทเหลือ 0.70 บาท เป็น 0.65 บาท เพื่อให้สามารถจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นได้หากบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเป็นกำไร
นายวิรัตน์ บอกด้วยว่า การปรับเปลี่ยนสัดส่วนการเพิ่มทุนดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนได้มากขึ้น จาก 1,300 ล้านบาท เป็น 2,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และมีศักยภาพซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนมีแผนจะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 โครงการ ได้แก่ การซื้อที่ดิน 7 ไร่ บริเวณถนนพระราม 9 หน้า RCA ซึ่งใช้เงินทุนในส่วนของบริษัทฯ ประมาณ 450 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 57,000 ตารางเมตร มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท, การลงทุนในโครงการที่เกาะล้าน ที่ต้องใช้เงินค่าซื้อสิทธิประมาณ 290 ล้านบาท และค่าพัฒนาโครงการที่ต้องใช้เงินทุนในส่วนของบริษัทฯ อีกประมาณ 500 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่หาดใหญ่ และภูเก็ต ที่ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท
“การปรับสัดส่วนเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะทำให้เราได้เงินมากขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาโปรเจกต์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ KMC มีข้อจำกัดในการขอสินเชื่อ แต่เราก็ไม่ต้องการปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไป ซึ่งการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะสามารถรองรับการเติบโตได้ใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยผู้ถือหุ้นไม่ต้องกังวลการเพิ่มทุนอีก และขอยืนยันว่า จะไม่กระทบต่อแผนการล้างขาดทุนสะสมเพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น อีกทั้งยังไม่กระทบกับ Book Value (BV) ของ KMC มากนัก โดยหากเพิ่มทุนในสูตรเดิม BV จะอยู่ที่หุ้นละ 0.70 บาท ส่วนสูตรใหม่ BV จะอยู่ที่ 0.68 บาท”
ทั้งนี้ คณะกรรมการมองเห็นแล้วว่า การได้เงินเพิ่มทุนมากขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากกว่า สำหรับผลของไดลูชันราคาก็สามารถชดเชยได้จากมูลค่าเพิ่มของวอร์แรนต์ที่เราปรับราคาใช้สิทธิลงจาก 0.75 บาท เหลือ 0.60 บาท ซึ่งเท่ากับว่าผู้ถือหุ้นจะจ่ายเงินเพื่อใช้สิทธิลดลง 20% โดยสูตรใหม่ดังกล่าวนี้ น่าจะสามารถจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิในการจองซื้อ รวมถึงจูงใจให้มีการจองซื้อเกินสิทธิมากขึ้นด้วย และในส่วนของหุ้นเพิ่มทุน PP 5,000 ล้านหุ้น ก็มีนโยบายจัดสรรให้แก่ผู้ที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรของบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นนักลงทุนระยะยาว และมีความรู้ความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมการทำธุรกิจของ KMC ได้อีกด้วย” นายวิรัตน์กล่าว
***********