“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” คาดยอดขายปี 56 โต 20% และตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท พร้อมขยายไปต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ในปี 2556 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท หรือเติบโต 20% โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ 2,250 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มสินค้าอาคารชุด รวมทั้งขยายโครงการไปยังต่างจังหวัดทั้งในภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ หลังจากประสบปัญหาจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงปี 2554 ซึ่งทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัว และธุรกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปีนี้คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยมองว่าทิศทาง และแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งในปี 2556 นี้
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผลจากน้ำไม่ท่วม ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ การขยายโครงการเส้นทางก่อสร้างคมนาคม และโครงการขนส่งมวลชน โดยเฉพาะระบบรางสำหรับรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ ทั้งสิ้น จึงทำให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ และแนวสูงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี” นายไชยยันต์กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ แล้ว ยังมีปัจจัยของการฟื้นตัวของการบริโภคภาคประชาชน และการลงทุนภาครัฐบาล อีกทั้งการขยายการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนการเตรียมตัวรับ AEC ในอนาคตเป็นแรงผลักดันให้ตลาดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้ปีนี้บริษัทฯ มีนโยบายในการขยายธุรกิจไปยังต่างจังหวัดต่อจากปีที่แล้ว โดยมุ่งขยายไปยังชลบุรี ศรีราชา พัทยา และระยอง ตลอดจนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เป็นต้น
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ คาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ๆ ประมาณ 8-10 โครงการ โดยจะเน้นในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวสูง อย่างคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยจากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ทั้งนี้ เนื่องมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวสูงที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ไปยังต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากบริษัทเล็งเห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นว่าแผนการขยายงานในส่วนของตลาดอาคารชุด และตลาดต่างจังหวัดจะเป็น 2 ปัจจัยหลักในการขยายงานเพื่อสนับสนุนแผนงานด้านการเจริญเติบโตของบริษัทฯ (Growth Strategy)
สำหรับโครงการในปัจจุบันนั้น บริษัทฯ ได้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเน้นความสะดวกสบายทั้งในการเดินทาง และการใช้ชีวิตประจำวันในเมือง จึงทำให้โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบแ ละแนวสูงที่จะเน้นยึดทำเลที่ตั้งในแนวรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินเป็นหลัก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการแบ่งแบรนด์เป็น SBU1 (คือ แบรนด์เดิม ประกอบด้วย บ้านลลิล ลลิล กรีนวิลล์ และบุรีรมย์), SBU2 (คือ แบรนด์ใหม่ ประกอบด้วย แลนซิโอ ลีโอ ลิปป์ และลีโว) และ SBU 3 รองรับโครงการต่างจังหวัด เพื่อให้สามารถทำการตลาดได้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ทั้งตลาดบน-กลาง และล่าง ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ในปี 2556 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท หรือเติบโต 20% โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ 2,250 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มสินค้าอาคารชุด รวมทั้งขยายโครงการไปยังต่างจังหวัดทั้งในภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ หลังจากประสบปัญหาจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงปี 2554 ซึ่งทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัว และธุรกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปีนี้คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยมองว่าทิศทาง และแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งในปี 2556 นี้
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผลจากน้ำไม่ท่วม ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ การขยายโครงการเส้นทางก่อสร้างคมนาคม และโครงการขนส่งมวลชน โดยเฉพาะระบบรางสำหรับรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ ทั้งสิ้น จึงทำให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ และแนวสูงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี” นายไชยยันต์กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ แล้ว ยังมีปัจจัยของการฟื้นตัวของการบริโภคภาคประชาชน และการลงทุนภาครัฐบาล อีกทั้งการขยายการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนการเตรียมตัวรับ AEC ในอนาคตเป็นแรงผลักดันให้ตลาดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้ปีนี้บริษัทฯ มีนโยบายในการขยายธุรกิจไปยังต่างจังหวัดต่อจากปีที่แล้ว โดยมุ่งขยายไปยังชลบุรี ศรีราชา พัทยา และระยอง ตลอดจนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เป็นต้น
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ คาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ๆ ประมาณ 8-10 โครงการ โดยจะเน้นในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวสูง อย่างคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยจากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ทั้งนี้ เนื่องมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวสูงที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ไปยังต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากบริษัทเล็งเห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นว่าแผนการขยายงานในส่วนของตลาดอาคารชุด และตลาดต่างจังหวัดจะเป็น 2 ปัจจัยหลักในการขยายงานเพื่อสนับสนุนแผนงานด้านการเจริญเติบโตของบริษัทฯ (Growth Strategy)
สำหรับโครงการในปัจจุบันนั้น บริษัทฯ ได้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเน้นความสะดวกสบายทั้งในการเดินทาง และการใช้ชีวิตประจำวันในเมือง จึงทำให้โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบแ ละแนวสูงที่จะเน้นยึดทำเลที่ตั้งในแนวรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินเป็นหลัก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการแบ่งแบรนด์เป็น SBU1 (คือ แบรนด์เดิม ประกอบด้วย บ้านลลิล ลลิล กรีนวิลล์ และบุรีรมย์), SBU2 (คือ แบรนด์ใหม่ ประกอบด้วย แลนซิโอ ลีโอ ลิปป์ และลีโว) และ SBU 3 รองรับโครงการต่างจังหวัด เพื่อให้สามารถทำการตลาดได้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ทั้งตลาดบน-กลาง และล่าง ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี