สรรพสามิตเตรียมของบกลาง 4 หมื่นล้าน เพื่อรองรับการคืนภาษีนโยบาย “รถคันแรก” ยันนขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานตัวเลขการยึดรถที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้คืน แต่ได้เตรียมความพร้อม และประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก และบริษัทไฟแนนซ์ เพื่อติดตามดูเป็นระยะๆ โดยต้องรอประเมินในช่วงปีแรก เพราะเป็นปีที่จะทดสอบว่า ผู้ซื้อจะสามารถผ่อนชำระรถยนต์ผ่านพ้นไปได้หรือไม่ หากทำได้เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้หารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อขอใช้งบกลางปีงบประมาณ 2556 อีก 40,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการจ่ายคืนเงินให้แก่ผู้ได้รับสิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก
นายสมชาย กล่าวว่า หลังจากปิดโครงการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ได้ทบทวนตัวเลขรถยนต์ที่จดทะเบียนครบ 1 ปี มีประมาณ 40,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 18,000 ล้านบาท แต่ตั้งงบประมาณไว้เพียง 7,500 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด จ่ายคืนไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท เหลือเงินไม่มาก จึงเตรียมเสนอเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนปีงบประมาณ 2557 รถยนต์ที่จดทะเบียนครบ 1 ปี อีก 40,000 ล้านบาท จะต้องตั้งงบประมาณไว้จ่ายคืน ส่วนที่เหลือจะเป็นการตั้งงบประมาณปี 2558 เพราะจากจำนวนรถยนต์ที่เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืน 91,000 ล้านบาท และจะมีจำนวนรถยนต์ทยอยถือครองครบ 1 ปีตามกำหนด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้ากรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการประเมินรายได้ภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมากจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ทั้งการนำเข้าอะไหล่ หรืออุปกรณ์ วัตถุดิบ ส่วนประกอบ และน้ำมัน ซึ่งจะมีภาษีสรรพสามิตรวมอยู่ด้วย
ส่วนกรมจัดเก็บรายได้อื่นๆ ทั้งกรมศุลกากร และกรมสรรพากรต้องประเมินภาษีที่เกี่ยวข้องด้วยว่าสามารถจัดเก็บภาษีได้มากน้อยเพียงใด เพื่อรวบรวมตัวเลขให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินภาพรวมอีกครั้งหนึ่ง
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานตัวเลขการยึดคืนรถที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก แต่ได้เตรียมความพร้อม และประสานงานกับทั้งกรมการขนส่งทางบก และบริษัทไฟแนนซ์ เพื่อติดตามดูเป็นระยะๆ โดยต้องรอประเมินในช่วงปีแรก เพราะเป็นปีทดสอบว่าจะสามารถผ่อนชำระรถยนต์ผ่านพ้นไปได้หรือไม่ หากทำได้เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
สำหรับการจัดเก็บรายได้ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า 3 เดือนแรกของปีงบประมาณสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายถึง 17,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะภาษีรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมากจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โดยทั้งปีคาดว่าจะจัดเก็บได้ 150,000 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงปกติที่จัดเก็บภาษีรถยนต์ได้ 120,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาษีอื่นๆ จัดเก็บได้ดีเช่นกัน เช่น เครื่องดื่ม ทั้งที่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีแอลกอฮอล์ และหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ภาวะเศรษฐกิจยังดีต่อเนื่องที่จะกระตุ้นการบริโภคได้ เชื่อว่าการจัดเก็บรายได้จะสูงกว่าประมาณ 412,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน โดยไม่รวมกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตดีเซลที่ยังคงจัดเก็บในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร ซึ่งหากปรับขึ้น 1 บาท จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 19,000 ล้านบาท
