รมช.คลัง คาดยอดขอคืนภาษีรถคันแรกทะลุ 1 ล้านคัน คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนประมาณ 70,000 ล้านบาท ยันคงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทําให้รถติดในปัจจุบัน เพราะจํานวนรถจากโครงการยังออกมาไม่มาก และจากข้อมูลเป็นรถในกรุงเทพมหานคร มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการยื่นขอรับสิทธิคืนเงินภาษีในโครงการรถยนต์คันแรกว่า ปัจจุบัน มียอดผู้มาขอใช้สิทธิแล้วทั้งสิ้น 910,000 คัน คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนทั้งสิ้น 63,000 ล้านบาท ซึ่งประชาชนมายื่นเฉลี่ยวันละ 35,000 คน หากยอดเฉลี่ยยังเท่าเดิมที่เหลืออีก 10 วัน ก็จะเพิ่มอีก 350,000 คัน ทำให้ยอดรวมทั้งสิ้นเมื่อปิดโครงการวันที่ 31 ธันวาคม 2555 น่าจะทะลุ 1 ล้านคัน คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนประมาณ 70,000 ล้านบาท
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า ยอดขอคืนเงินภาษีน่าจะหนาแน่นในช่วงนี้ ก่อนที่จะเป็นช่วงวันหยุดท้ายปี คือ วันที่ 29-31 ธันวาคม 2555 แต่กรมสรรพสามิตจะทํางานแบบไม่มีวันหยุดจนถึงเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิเต็มที่ สำหรับโครงการดังกล่าวนั้นไม่ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณ แต่เป็นการจ่ายคืนเงินภาษีที่ประชาชนจ่ายให้รัฐคืนกลับไป เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ทําให้ประชาชนมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ แต่จํากัดว่าต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศ ขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี หรือรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ขณะที่รัฐบาลก็จะได้ประโยชน์ 2 ส่วน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้ ยังทําให้ยอดขายรถยนต์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงื่อนไขรถคันแรกเพิ่มตามด้วย
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้กรมสรรพสามิตคํานวณหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เพื่อดูว่า นอกจากภาษีที่ต้องคืน 70,000 ล้านบาทแล้ว จะได้ภาษีคืนกลับมาเป็นจํานวนเท่าใด แล้วจะได้รู้ว่าโครงการดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์มากพอควร และคงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทําให้รถติดในปัจจุบัน เพราะจํานวนรถจากโครงการยังออกมาไม่มาก และจากข้อมูลเป็นรถในกรุงเทพมหานครเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
ส่วนการคืนเงินภาษีนั้น นายทนุศักดิ์เชื่อว่า จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นการทยอยคืนเดือนละครั้งทุกวันที่ 5 ของเดือน โดยที่ผ่านมา ได้จ่ายไปแล้ว 35,000 ราย คิดเป็นเงิน 2,300 ล้านบาท หากไม่พอตามที่ตั้งในงบประมาณไว้ก็สามารถยื่นเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ใช้งบกลางเป็นครั้งๆ ไปได้ ซึ่งปลายปีน่าจะทราบตัวเลขที่ชัดเจนว่า ต้องใช้เงินแต่ละปีงบประมาณเท่าใด เพราะขณะนี้ ยังไม่ได้แยกจํานวนว่าที่รับแล้วกับที่รอส่งมอบมีจํานวนเท่าใด
“ธรรมชาติของคน เมื่อมีภาระเพิ่มขึ้น ความขยัน และมุ่งมั่นในการทํางานก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น คิดว่าจํานวนรถที่เข้าโครงการ 1 ล้านคัน จะทําให้คนอีก 1 ล้านคน ขยันขันแข็งทํางานได้มากขึ้นแค่ไหน อย่าไปคิดว่าจะเกิดภาระหนี้เพิ่มขึ้น หรือหนี้เสียเพิ่มเพียงอย่างเดียว แต่มองว่าเศรษฐกิจจะได้ประโยชน์จากโครงการแค่ไหน” นายทนุศักดิ์กล่าว