ลิฟวิ่งแลนด์ฯ ซื้อหุ้น “แพลทตินั่ม” จากผู้ถือหุ้นเดิม 5 ราย จำนวน 608,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท หรือ 76% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ราคาหุ้นละ 238.48 ล้านบาท รวมมูลค่าไม่เกิน 145 ล้านบาท ใช้เงินจากการขายหุ้นให้บุคคลในวงจำกัด คาดดำเนินการแล้วเสร็จมกราคมนี้ หวังกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมสู่ธุรกิจใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเพิ่มสภาพคล่อง
นายภพ เพชรสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ LL แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 11/2555 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 55 ว่า บอร์ดได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท แพลทตินั่ม ออโต้ เซอร์วิส จำกัด (แพลทตินั่ม) จำนวน 608,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.00 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 238.48 บาท รวมมูลค่าไม่เกิน 145 ล้านบาท จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของเพลทตินั่ม จำนวน 5 ราย (ผู้ขาย) ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ และ/หรือความเกี่ยวโยงกันกับกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท
การเข้าทำรายการดังกล่าว ถือเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปิดเผยข้อมูล และการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ.2547 (ประกาศรายการได้มาหรือจำหน่ายไป)
โดยบริษัทจะซื้นหุ้นดังกล่าวด้วยการชำระด้วยเงินสด ห้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นของแพลทตินั่ม ซึ่งราคาซื้อขายดังกล่าว บริษัทได้มีการเจรจาลดลงจากราคา 155 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาหุ้นละ 254.93 บาท ซึ่งเสนอมาโดยผู้ขาย (กลุ่มผู้ถือหุ้นของแพลทตินั่ม) โดยราคาซื้อขายเป็นราคาที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของแพลทตินั่ม (ตามสัดส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 55 ซึ่งเท่ากับ 66.91 ล้านบาท และตํ่ากว่าราคาที่เหมาะสมที่ประเมินโดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ซึ่งประเมินโดยวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสด (Discounted Cashflow Approach: DCF) เท่ากับ 169.85 ล้านบาท (คำนวณตามสัดส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว) ภายใต้สมมติฐาน และประมาณการทางการเงิน
ทั้งนี้้ จากการพิจารณาซื้อหุ้นของแพลทตินั่มในราคารวมไม่เกิน 145 ล้านบาท บริษัทเห็นว่า หากอ้างอิงตามประมาณการของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ จะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 18% และมีระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ประมาณ 6 ปี อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าลงทุนแล้ว แพลทตินั่มจะเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง และจะมีโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืน และส่งผลตอบแทนให้บริษัทมีอนาคตมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสดให้แก่ผู้ขายในวันโอนหุ้น ภายหลังสิ้นสุดการตรวจสอบงบการเงิน (Accounting Due Diligence) ซึ่งจะดำเนินการไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2556 ขณะเงินทุนจะใช้เงินสดที่ได้จากการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private
Placement: PP) ซึ่งมีมติอนุมัติจากที่ประชุมเมื่้อเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 55 จำนวน 690 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาหุ้นละ 0.25 บาท รวมมูลค่า 172.50 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการเสร็จในวันที่ 7 มกราคม 56
สำหรับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าว จะสามารถกระจายความเสี่ยงจากเดิมที่เน้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่อง ไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า และกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น
นายภพ เพชรสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ LL แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 11/2555 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 55 ว่า บอร์ดได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท แพลทตินั่ม ออโต้ เซอร์วิส จำกัด (แพลทตินั่ม) จำนวน 608,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.00 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 238.48 บาท รวมมูลค่าไม่เกิน 145 ล้านบาท จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของเพลทตินั่ม จำนวน 5 ราย (ผู้ขาย) ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ และ/หรือความเกี่ยวโยงกันกับกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท
การเข้าทำรายการดังกล่าว ถือเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปิดเผยข้อมูล และการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ.2547 (ประกาศรายการได้มาหรือจำหน่ายไป)
โดยบริษัทจะซื้นหุ้นดังกล่าวด้วยการชำระด้วยเงินสด ห้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นของแพลทตินั่ม ซึ่งราคาซื้อขายดังกล่าว บริษัทได้มีการเจรจาลดลงจากราคา 155 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาหุ้นละ 254.93 บาท ซึ่งเสนอมาโดยผู้ขาย (กลุ่มผู้ถือหุ้นของแพลทตินั่ม) โดยราคาซื้อขายเป็นราคาที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของแพลทตินั่ม (ตามสัดส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 55 ซึ่งเท่ากับ 66.91 ล้านบาท และตํ่ากว่าราคาที่เหมาะสมที่ประเมินโดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ซึ่งประเมินโดยวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสด (Discounted Cashflow Approach: DCF) เท่ากับ 169.85 ล้านบาท (คำนวณตามสัดส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว) ภายใต้สมมติฐาน และประมาณการทางการเงิน
ทั้งนี้้ จากการพิจารณาซื้อหุ้นของแพลทตินั่มในราคารวมไม่เกิน 145 ล้านบาท บริษัทเห็นว่า หากอ้างอิงตามประมาณการของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ จะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 18% และมีระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ประมาณ 6 ปี อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าลงทุนแล้ว แพลทตินั่มจะเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง และจะมีโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืน และส่งผลตอบแทนให้บริษัทมีอนาคตมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสดให้แก่ผู้ขายในวันโอนหุ้น ภายหลังสิ้นสุดการตรวจสอบงบการเงิน (Accounting Due Diligence) ซึ่งจะดำเนินการไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2556 ขณะเงินทุนจะใช้เงินสดที่ได้จากการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private
Placement: PP) ซึ่งมีมติอนุมัติจากที่ประชุมเมื่้อเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 55 จำนวน 690 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาหุ้นละ 0.25 บาท รวมมูลค่า 172.50 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการเสร็จในวันที่ 7 มกราคม 56
สำหรับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าว จะสามารถกระจายความเสี่ยงจากเดิมที่เน้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่อง ไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า และกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น
