ASTVผู้จัดการรายวัน - ผลิตไฟฟ้าฟุ้งปีหน้าโกยกำไรไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้จากโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 50เมกะวัตต์ ธุรกิจถ่านหินและโรงไฟฟ้าเคซอนที่ฟิลิปปินส์ ตั้งงบลงทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ แย้มเจรจาฮุบโครงการพลังลม 200เมกะวัตต์ มูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดสรุปปี 56
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯคาดมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าเคซอน ที่ฟิลิปปินส์ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 98% รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และพลังลมเพิ่มอีก 50 เมกะวัตต์ และกำไรจากธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย แม้ว่าราคาถ่านหินในปัจจุบันจะปรับตัวลดลง แต่ก็มั่นใจว่าธุรกิจเหมืองถ่านหินยังทำกำไรอยู่
สำหรับงบการลงทุนในปี 2556 บริษัทฯวางไว้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวมการลงทุนส่วนขยายโรงไฟฟ้าเควซอนอีก 500 เมกะวัตต์และการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยเม็ดเงินลงทุนปีหน้าจะใช้ลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ร่วมทุนกับยันฮีจำนวน 6 โครงการ คิดเป็นกำลังผลิตในสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น 28 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี56 โรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่หาดใหญ่ ขนาด 6.7 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเทพพนา วินฟาร์มที่ชัยภูมิ กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ และส่วนขยายโรงไฟฟ้าNED และ GPS จำนวน 3 เมกะวัตต์ และ4 เมกะวัตต์ตามลำดับ
แหล่งเงินทุนจะมาจากโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่หากมีการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าใหม่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทยังมีศักยภาพในการกู้ยืมสถาบันการเงินอยู่ โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) 0.62 เท่า และมีเงินสดในมือ 671 ล้านบาท ณ สิ้นก.ย. 55
นายสหัส กล่าวต่อไปว่า บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนในอนาคตเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งโอกาสทำธุรกิจใหม่ๆด้วย โดยในประเทศนั้นบริษัทฯสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP)รอบใหม่ โครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี ขยายกำลังการผลิตโครงการพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯสนใจลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเกือบ 200 เมกะวัตต์ที่ชัยภูมิ ใช้เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทสนใจเข้าไปถือหุ้นในโครงการนี้ 90% คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2556 หลังจากนั้นดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปี2557-2558
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งอินโดนีเซีย โครงการส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอนที่ฟิลิปปินส์อีก 500 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาผู้รับซื้อไฟฟ้าเพื่อทำสัญญาซื้อขายไฟ คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นปี 2556 และจะเข้าร่วมเข้าประมูลโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซียด้วย ส่วนที่พม่าก็มองหาจังหวะการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์เพื่อขายไฟให้กับภาคธุรกิจในพม่าทดแทนไฟฟ้าที่ใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และเวียดนามก็มีผู้เสนอขายโรงไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้บริษัทฯยังร่วมกับลักกี้ แอลจี ประเทศเกาหลีทำโรงงานผลิตไม้อัดแท่งเพื่อใช้ผสมกับถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นบังคับให้โรงไฟฟ้าถ่านหินต้องผสมไม้อัดแท่งเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฯ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะ(ดีวดิลิเจนท์)โรงงานผลิตไม้อัดแท่งจำนวน 3 โรง ขนาดกำลังผลิตโรงละ 6 หมื่นตัน/ปี คาดว่าได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ด้านผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมีกำไรก่อสนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยไม่นับรวมค่าใช้จ่ายในรายการพิเศษจำนวน 5362 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าปีนี้บริษัทฯมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 2.75 บาท/หุ้น คาดว่าทั้งปี 2555 จะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีก่อนที่จ่ายปันผลไป 5.25 บาท/หุ้น เนื่องจากมองเห็นกำไรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และราคาหุ้นEGCO ได้ขยับสูงขึ้นมาก ทำให้ต้องจ่ายปันผลสูงขึ้นเพื่อไม่ให้ Dividen Yield ต่ำลง
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯคาดมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าเคซอน ที่ฟิลิปปินส์ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 98% รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และพลังลมเพิ่มอีก 50 เมกะวัตต์ และกำไรจากธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย แม้ว่าราคาถ่านหินในปัจจุบันจะปรับตัวลดลง แต่ก็มั่นใจว่าธุรกิจเหมืองถ่านหินยังทำกำไรอยู่
สำหรับงบการลงทุนในปี 2556 บริษัทฯวางไว้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวมการลงทุนส่วนขยายโรงไฟฟ้าเควซอนอีก 500 เมกะวัตต์และการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยเม็ดเงินลงทุนปีหน้าจะใช้ลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ร่วมทุนกับยันฮีจำนวน 6 โครงการ คิดเป็นกำลังผลิตในสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น 28 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี56 โรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่หาดใหญ่ ขนาด 6.7 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเทพพนา วินฟาร์มที่ชัยภูมิ กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ และส่วนขยายโรงไฟฟ้าNED และ GPS จำนวน 3 เมกะวัตต์ และ4 เมกะวัตต์ตามลำดับ
แหล่งเงินทุนจะมาจากโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่หากมีการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าใหม่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทยังมีศักยภาพในการกู้ยืมสถาบันการเงินอยู่ โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) 0.62 เท่า และมีเงินสดในมือ 671 ล้านบาท ณ สิ้นก.ย. 55
นายสหัส กล่าวต่อไปว่า บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนในอนาคตเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งโอกาสทำธุรกิจใหม่ๆด้วย โดยในประเทศนั้นบริษัทฯสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP)รอบใหม่ โครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี ขยายกำลังการผลิตโครงการพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯสนใจลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเกือบ 200 เมกะวัตต์ที่ชัยภูมิ ใช้เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทสนใจเข้าไปถือหุ้นในโครงการนี้ 90% คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2556 หลังจากนั้นดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปี2557-2558
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งอินโดนีเซีย โครงการส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอนที่ฟิลิปปินส์อีก 500 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาผู้รับซื้อไฟฟ้าเพื่อทำสัญญาซื้อขายไฟ คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นปี 2556 และจะเข้าร่วมเข้าประมูลโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซียด้วย ส่วนที่พม่าก็มองหาจังหวะการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์เพื่อขายไฟให้กับภาคธุรกิจในพม่าทดแทนไฟฟ้าที่ใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และเวียดนามก็มีผู้เสนอขายโรงไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้บริษัทฯยังร่วมกับลักกี้ แอลจี ประเทศเกาหลีทำโรงงานผลิตไม้อัดแท่งเพื่อใช้ผสมกับถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นบังคับให้โรงไฟฟ้าถ่านหินต้องผสมไม้อัดแท่งเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฯ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะ(ดีวดิลิเจนท์)โรงงานผลิตไม้อัดแท่งจำนวน 3 โรง ขนาดกำลังผลิตโรงละ 6 หมื่นตัน/ปี คาดว่าได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ด้านผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมีกำไรก่อสนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยไม่นับรวมค่าใช้จ่ายในรายการพิเศษจำนวน 5362 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าปีนี้บริษัทฯมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 2.75 บาท/หุ้น คาดว่าทั้งปี 2555 จะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีก่อนที่จ่ายปันผลไป 5.25 บาท/หุ้น เนื่องจากมองเห็นกำไรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และราคาหุ้นEGCO ได้ขยับสูงขึ้นมาก ทำให้ต้องจ่ายปันผลสูงขึ้นเพื่อไม่ให้ Dividen Yield ต่ำลง