xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ ปล่อยกู้รายใหญ่โต 5-7%จี้ ปรับตัวรับค่าแรง 300 บ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แบงก์กสิกรไทยโชว์ผลงานปี 55 สินเชื่อรายใหญ่โตได้ 5-7% ตามเป้าที่ตั้งไว้ ขณะที่ปีหน้าตั้งไว้ 4-6% ชี้ปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศยังจับตาสหรัฐฯ-ยุโรป พร้อมแนะผู้ประกอบการปรับตัวรับค่าแรง 300 บาท ซ้ำเติมขาดแคลนแรงงาน

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทในปี 2555 นั้น ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มียอดสินเชื่อคงค้าง 3.73 แสนล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะมียอดคงค้างที่ 3.88 แสนล้านบาท หรือเติบโต 5-7% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ได้มาจากสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 12%

ทั้งนี้ ในปีหน้าธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรายใหญ่เติบโต 4-6% รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ใช่สินเชื่อ 17% และมีสัดส่วนค่าธรรมเนียม และรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ใช่สินเชื่อต่อมูลค่าสินทรัพย์รวม 2.9% จากเดิม 2.62%

นายวศิน กล่าวอีกว่า การเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ในปีหน้าจะมาจากภาคธุรกิจในหลายๆ กลุ่มที่ยังเติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ รวมถึงโครงการสาธารณูปโภคของรัฐ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารเน้นในเรื่องของ Trade Finance ให้สอดคล้องกับภาคการส่งออกในปีหน้าที่น่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะเติบโตได้ 12.5% รวมถึงการให้บริการในรูปแบบ Value Shane ซึ่งมีเป้าหมายปี 56 ในการเป็นธนาคารที่ลูกค้าใช้บริการเป็นธนาคารหลัก (Main Operating Bank) โดยใช้กลยุทธ์ 3 ส่วน คือ การให้คำปรึกษาทางด้านการระดมทุน การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในเรื่องของการปรับโครงสร้างองค์กร และการบริหารจัดการทางการเงินทางด้านการระดมทุน

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องต่างๆ ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่สถานการณ์ในยูโรโซนยังคงเปราะบาง ส่งผลให้ตลาดเงิน และตลาดทุนมีความผันผวนเพิ่มขึ้น ทั้งจากอัตราแลกแปลี่ยน และความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ของคู่ค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ปัจจัยในประเทศเรื่องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ จะเพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ประกอบการด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

“กลยุทธ์ของธนาคารนั้น ไม่ได้เน้นที่การปล่อยกู้เพียงอย่างเดียว เพราะพวกคอร์ปอเรตเป็นกลุ่มที่เข้าถึงเงินทุนง่าย และมีทางเลือกในการระดมทุนมากอยู่แล้ว แต่เราจะเน้นในการให้ความรู้การแนะนำในการพัฒนาศักยภาพของลูกค้าด้วย เพราะในระยะต่อไป ผู้ประกอบการไทยจะต้องเผชิญความท้าทายในหลายรูปแบบ ทั้งจากในประเทศคือ การปรับค่าแรงซึ่งเพิ่มแรงกดดันจากปัญหาเดิมก็คือ แรงงานขาดแคลน ทั้งปัจจัยต่างประเทศที่จะมีความผันผวนมากขึ้น ทั้งด้านอัตราแลกเปลี่ยน สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น”

ทั้งนี้ ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจนั้น ในปี 56 ธนาคารมีดีลงานที่ปรึกษาทางการเงินในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ต่อเนื่องจากปีก่อน รวมถึงดีลที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการ (M&A) โดยได้รับผลดีจากการที่ธนาคารได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารท้องถิ่นในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น และภูมิภาคอาเซียน ทำให้การดำเนินการ M&A จะเริ่มจากการทำ Business Matching ก่อน ซึ่งพบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นสนใจการลงทุนในธุรกิจอาหาร และอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และดีล IPO รออยู่แล้ว 7 ดีล ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูภาวะตลาดฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น