เลขาฯ สมาคมธนาคารไทย แนะแก้ไขหนี้นอกระบบผ่านระบบสวัสดิการสังคม ยอมรับปัญหาหนี้นอกระบบของไทยถือว่ามีความรุนแรง และน่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากมีการเก็บอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด โดยบางรายคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 200 ต่อเดือน
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบของไทยถือว่ามีความรุนแรง และน่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากมีการเก็บอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด โดยบางรายคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 200 ต่อเดือน และยังมีการทวงหนี้ที่รุนแรงและอยู่นอกเหนือกฎหมาย รัฐบาลจึงควรแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
นายธวัชชัยเห็นว่า การขึ้นทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบผ่านระบบสินเชื่อของธนาคารเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เนื่องจากสถาบันการเงินมีเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่ชัดเจน โดยจะดูความเป็นไปได้ในการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นหลัก ทำให้ผู้กู้ที่มีคุณบัติไม่เพียงพอไม่สามารถเข้าถึงระบบสินเชื่อของธนาคารได้ ดังนั้น การใช้ระบบสวัสดิการสังคมเข้ามาช่วยเหลือจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่จะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบอย่างชัดเจน เพื่อช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่เดือดร้อนจริง โดยพิจารณารายละเอียดของรายได้ และการใช้จ่ายของลูกหนี้ว่าเป็นการใช้จ่ายที่มีความจำเป็น หรือเป็นการใช้จ่ายเกินตัว เชื่อว่า รัฐบาลมีงบประมาณที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเพียงพอ
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบประเทศที่มีคนจนมากอย่างจีน และอินเดีย พบว่า ไม่มีปัญหาหนี้นอกระบบเหมือนไทย สิ่งสำคัญคือ ต้องแก้ที่นิสัยของคนไทยว่าอย่าใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมได้รับหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ เนื่องจากไม่มีการระบุชื่อที่อยู่ของผู้ที่ร้องเรียน แต่เป็นลักษณะของการปรับทุกข์
นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์หลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบที่สังคมไทยยังไม่ค่อยรับรู้ และยังไม่ได้รับการแก้ปัญหา คือ ปัญหาหนี้นอกระบบของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้มีมนุษย์เงินเดือนประมาณ 17 ล้านคน โดย 14 ล้านคนทำงานภาคเอกชน และอีก 8-9 ล้านคน มีรายได้ไม่ถึง 8,000 บาทต่อเดือน ซึ่งคนเหล่านี้กู้หนี้นอกระบบ เสียอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8-10
นายณรงค์เสนอให้รัฐบาลนำเงินจากสำนักงานประกันสังคมมาออกพันธบัตรจำนวน 50,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อปล่อยกู้ให้แก่พนักงานโรงงาน โดยมีเงื่อนไขผู้กู้จะต้องมีเงินฝากประจำร้อยละ 10 ของวงเงินที่จะกู้ หากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายหมายที่วางไว้ ผู้กู้จะสามารถใช้หนี้คืนได้ภายใน 3 ปี และสามารถนำเงินฝากที่ได้จากการระดมทุนจากลูกหนี้ไปตั้งธนาคารเฉพาะกิจเพื่อปล่อยกู้ให้แก่กลุ่มคนงานที่มีรายได้น้อย
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบของไทยถือว่ามีความรุนแรง และน่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากมีการเก็บอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด โดยบางรายคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 200 ต่อเดือน และยังมีการทวงหนี้ที่รุนแรงและอยู่นอกเหนือกฎหมาย รัฐบาลจึงควรแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
นายธวัชชัยเห็นว่า การขึ้นทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบผ่านระบบสินเชื่อของธนาคารเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เนื่องจากสถาบันการเงินมีเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่ชัดเจน โดยจะดูความเป็นไปได้ในการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นหลัก ทำให้ผู้กู้ที่มีคุณบัติไม่เพียงพอไม่สามารถเข้าถึงระบบสินเชื่อของธนาคารได้ ดังนั้น การใช้ระบบสวัสดิการสังคมเข้ามาช่วยเหลือจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่จะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบอย่างชัดเจน เพื่อช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่เดือดร้อนจริง โดยพิจารณารายละเอียดของรายได้ และการใช้จ่ายของลูกหนี้ว่าเป็นการใช้จ่ายที่มีความจำเป็น หรือเป็นการใช้จ่ายเกินตัว เชื่อว่า รัฐบาลมีงบประมาณที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเพียงพอ
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบประเทศที่มีคนจนมากอย่างจีน และอินเดีย พบว่า ไม่มีปัญหาหนี้นอกระบบเหมือนไทย สิ่งสำคัญคือ ต้องแก้ที่นิสัยของคนไทยว่าอย่าใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมได้รับหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ เนื่องจากไม่มีการระบุชื่อที่อยู่ของผู้ที่ร้องเรียน แต่เป็นลักษณะของการปรับทุกข์
นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์หลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบที่สังคมไทยยังไม่ค่อยรับรู้ และยังไม่ได้รับการแก้ปัญหา คือ ปัญหาหนี้นอกระบบของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้มีมนุษย์เงินเดือนประมาณ 17 ล้านคน โดย 14 ล้านคนทำงานภาคเอกชน และอีก 8-9 ล้านคน มีรายได้ไม่ถึง 8,000 บาทต่อเดือน ซึ่งคนเหล่านี้กู้หนี้นอกระบบ เสียอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8-10
นายณรงค์เสนอให้รัฐบาลนำเงินจากสำนักงานประกันสังคมมาออกพันธบัตรจำนวน 50,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อปล่อยกู้ให้แก่พนักงานโรงงาน โดยมีเงื่อนไขผู้กู้จะต้องมีเงินฝากประจำร้อยละ 10 ของวงเงินที่จะกู้ หากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายหมายที่วางไว้ ผู้กู้จะสามารถใช้หนี้คืนได้ภายใน 3 ปี และสามารถนำเงินฝากที่ได้จากการระดมทุนจากลูกหนี้ไปตั้งธนาคารเฉพาะกิจเพื่อปล่อยกู้ให้แก่กลุ่มคนงานที่มีรายได้น้อย
