ก.ล.ต.เผยอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มอีก 2 ประเภทกิจการให้กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเข้าลงทุนได้ คือ “ระบบท่อส่ง-ธุรกิจวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี” จากปัจจุบันอนุญาต10 ประเภท “วรพล” แย้มปัจจุบันมีเอกชนหลายรายสนใจตั้งกองทุน แต่ยื่นไฟลิ่งแล้ว 1 ราย
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะมีการเพิ่มให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสามารถลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน อีกประมาณ 2 ประเภท คือ 1.ระบบท่อส่งเช่น ท่อส่งแก๊ส ท่อส่งน้ำมัน 2.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ห้องแล็บ จากปัจจุบันที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสามารถลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานได้ 10 ประเภท คือ ระบบขนส่งทางราง ประปา ไฟฟ้า ถนน ท่าอากาศยาน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม พลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำ ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าทาง ก.ล.ต.จะมีการออกประกาศได้เมื่อใด เพราะจะต้องศึกษาให้รอบคอบ และสอบถามความสนใจของนักลงทุนก่อนว่า นักลงทุนให้ความสนใจจะเข้ามาลงทุนหรือไม่
สำหรับปัจจุบัน มีภาคเอกชนหลายรายให้ความสนใจที่จะมีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ขณะนี้ที่มีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลแก่ ก.ล.ต.แล้ว คือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ซึ่งเป็นกิจการประภทระบบขนส่งทางราง โดยขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการดำเนินพิจารณาข้อมูลไฟลิ่งอยู่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการตรวจดูข้อมูลให้ครบถ้วนว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องมีการเปิดเผยในหนังสือชี้ชวนเพื่อให้นักลงทุนได้ทราบข้อมูล จากที่เป็นตราสารทางการเงินใหม่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอนาคตน่าจะมีผู้จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประเภทต่างๆ มากขึ้น และเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจะให้ผลตอบแทนนักลงทุนที่ดี แม้ว่าจะไม่สูงมากเหมือนกองทุนหุ้น แต่ก็จะมีความผันผวนต่ำ จากที่นักลงทุนสามารถที่คาดการณ์รายได้อนาคตได้ โดยการที่ ก.ล.ต.ได้มีการเปิดให้มีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ภาครัฐ และเอกชนสามารถที่จะเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนในการลงทุนโครงการ และช่วยลดภาระงบประมาณแผ่นดินในการนำเงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงยังเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่นักลงทุน
นายวรพล กล่าวว่า จากการที่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการเพิ่มเกณฑ์รับหลักทรัพย์ โดยใช้เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ในการรับหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนนั้น ซึ่งบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียนโดยใช้เกณฑ์มาร์เกตแคปเข้าซื้อขายวันแรก แล้วราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาจองนั้น ส่วนตัวมองว่าเกิดจากที่นักลงทุนไม่ศึกษาข้อมูล และอ่านข้อมูลในหนังสือชี้ชวนน้อยเกินไป และประชาสัมพันธ์น้อยเกินไป โดยทาง ก.ล.ต.นั้นมองว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าว เพราะในต่างประเทศนั้นมีเกณฑ์รับหลักทรัพย์โดยใช้เกณฑ์มาร์เกตแคปอยู่แล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้บริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตอนาคตเข้ามาจดทะเบียน หากตลาดหุ้นไทยไม่มีเกณฑ์ดังกล่าว บริษัทก็จะมีการไประดมทุนในต่างประเทศ ทำให้ตลาดทุนไทยเสียโอกาสในการที่บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาระดมทุน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับตลาดหุ้นต่างประเทศได้