xs
xsm
sm
md
lg

“ดีแพค อินเตอร์ฯ” มุ่งพัฒนาระบบลอจิสติกส์หนุนรายได้ปีหน้าแตะ 1.3 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ดีแพค อินเตอร์ฯ โชว์ความแกร่งติดท็อปทรีบริษัทที่มีระบบลอจสติกส์ที่ได้มาตรฐานจากสมาคมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ด้านผู้บริหารเพิ่มเป้าหมายใช้ระบบเรียลไทม์ในไตรมาส 1 ปี 56 มั่นใจปีหน้ายอดขาย 1.3 พันล้านบาท

นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีแพค อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ DPAC กล่าวว่า บริษัทได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพลอจิสติกส์อุตสาหกรรม โดยสำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)

สำหรับการได้มาซึ่งรางวัลดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของบริษัทฯ ให้รอบด้าน ทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า บุคลากร และลอจิสติกส์ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการเทรดดิ้งบรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศในอาเซียน

นายเมธี อธิจิตสกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีแพค อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ DPAC กล่าวเสริมว่า บริษัทได้เข้าร่วมในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพลอจิสติกส์อุตสาหกรรมในเขตภาคตะวันออก ซึ่งมีบริษัทฯ ผู้เข้าแข่งขันกว่า 26 บริษัท โดยตลอดระยะโครงการ 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน 2555) ทางโครงการจะส่งทีมคณะอาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลอจิสติกส์เข้ามาประเมินการวางระบบลอจิสติกส์ของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อประเมินมาตรฐาน และหาข้อควรปรับปรุงเพื่อนำมาสู่ขั้นตอนการพัฒนาระบบต่อไป

สำหรับดีแพคฯ คณะอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้มีการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานระบบลอจิสติกส์ใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.มีสินค้า Slow Moving และ Dead Stock หรือการมีสต๊อกสินค้าเคลื่อนไหวช้าปริมาณสูงกว่า 19.6 ล้านบาท โดยปรับลดลงมากถึง 30% เหลือเพียง 6.55 ล้านบาท 2.Stock Accuracy ต่ำประมาณ 50% สามารถขยับขึ้นมาสูงถึง 98% 3.Purchasing Lead time นาน 52 วัน สามารถปรับลดลงเหลือเพียง 45 วัน

“บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาลอจิสติกส์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญว่าระบบลอจิสติกส์ที่ดีจะมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ สามารถควบคุม และปรับลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลอดของโครงการบริษัทจะมีทีมผู้บริหารระดับสูงได้เข้าร่วมประชุม และแสดงความคิดเห็นกับที่ปรึกษาโครงการอย่างสม่ำเสมอ และนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปรับปรุงพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จมาก โดยจบโครงการ 4 เดือน บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นถึง 27.55 ล้านบาทต่อปี ภายใต้ยอดขายเท่าเดิมที่ 1,000-1,100 ล้านบาทในปี 2555 และสามารถติดอันดับผู้ได้รับเลือก 1 ใน 3 บริษัทของโครงการ” นายเมธีกล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงไม่หยุดความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบลอจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องด้วยเป้าหมายการควบคุมระบบให้เป็นแบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าภายในไตรมาส 1 ปี 2556 จะสามารถเริ่มใช้ระบบเรียลไทม์ได้ ซึ่งมีทำให้การบริหารควบคุมเงินทุนได้ดียิ่งขึ้นอีก

นายเมธี กล่าวปิดท้ายว่า ในปีหน้า (2556) บริษัทฯ คาดการณ์ยอดขายมีโอกาสแตะระดับ 1,300 ล้านบาท ประเมินจากภาพรวมบริษัทฯ คงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง นอกเหนือจากการทำการตลาดในประเทศผ่านพันธมิตรทางการค้าอย่างบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ดีมากแล้ว การทำตลาดในต่างประเทศกลุ่ม AEC สามารถขยายตัวได้แข็งแกร่งเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา ที่เริ่มเข้าไปมีส่วนแบ่งการตลาดได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 1-2 ประเภท จากปัจจุบันที่มีกว่า 5-6 ประเภทแล้ว ทั้งนี้ เพื่อสนองตอบไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น