ASTVผู้จัดการรายวัน/รอยเตอร์ - คาด “บิวตี้ คอมมูนิตี้” สรุปราคา IPO ปลาย พ.ย. จากช่วงราคา 7.50-8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนอยู่ที่ประมาณ 618.75-701.25 ล้านบาท
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และบำรุงผิวที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ คาดจะสรุปราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ครั้งแรก (IPO) ปลาย พ.ย.นี้ จากช่วงราคาหุ้นที่กำหนดหุ้นละ 7.50-8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนอยู่ที่ประมาณ 618.75-701.25 ล้านบาท
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิวตี้ คอมมูนิตี้ กล่าวในเอกสารเผยแพร่ว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 82.5 ล้านหุ้น โดยแบ่งเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป 80 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้บริหาร และพนักงาน จำนวน 2.5 ล้านหุ้น โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายไว้ที่ 7.50-8.50 บาท ซึ่งจะกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายได้ภายในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้
เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE เพื่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน เช่น ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน การขยายคลังสินค้า และเพื่อนำไปใช้ในการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงต่อจากนี้ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ในปี 56 บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศของ BEAUTY BUFFET จำนวน 180 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จำนวน 50 สาขา ขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว MADE IN NATURE จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และโมเดิร์นเทรดเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี
ด้านนายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ทำการนับ 1 หรือตอบรับแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนของ BEAUTY ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.55
นอกจากนี้ คาดว่า BEAUTY จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในช่วงการเสนอขายน่าจะมีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั่วประเทศเช่นกัน
เนื่องจาก BEAUTY เป็นบริษัทที่มีการเติบโตค่อนข้างโดดเด่น ทั้งในส่วนของผลการดำเนินงาน อัตราการทำกำไร ตลอดจนการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัทมีการขยายสาขาร้านค้าปลีกออกไปอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และบำรุงผิวที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ คาดจะสรุปราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ครั้งแรก (IPO) ปลาย พ.ย.นี้ จากช่วงราคาหุ้นที่กำหนดหุ้นละ 7.50-8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนอยู่ที่ประมาณ 618.75-701.25 ล้านบาท
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิวตี้ คอมมูนิตี้ กล่าวในเอกสารเผยแพร่ว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 82.5 ล้านหุ้น โดยแบ่งเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป 80 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้บริหาร และพนักงาน จำนวน 2.5 ล้านหุ้น โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายไว้ที่ 7.50-8.50 บาท ซึ่งจะกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายได้ภายในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้
เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE เพื่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน เช่น ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน การขยายคลังสินค้า และเพื่อนำไปใช้ในการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงต่อจากนี้ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ในปี 56 บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศของ BEAUTY BUFFET จำนวน 180 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จำนวน 50 สาขา ขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว MADE IN NATURE จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และโมเดิร์นเทรดเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี
ด้านนายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ทำการนับ 1 หรือตอบรับแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนของ BEAUTY ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.55
นอกจากนี้ คาดว่า BEAUTY จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในช่วงการเสนอขายน่าจะมีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั่วประเทศเช่นกัน
เนื่องจาก BEAUTY เป็นบริษัทที่มีการเติบโตค่อนข้างโดดเด่น ทั้งในส่วนของผลการดำเนินงาน อัตราการทำกำไร ตลอดจนการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัทมีการขยายสาขาร้านค้าปลีกออกไปอย่างต่อเนื่อง