เกียรตินาคินเปิดแผนหลังรวมภัทร ดึงจุดเด่น 2 องค์กรรุกธุรกิจใน 3 ด้าน “แบงก์-ตลาดทุน-Private Client” ตั้งเป้าปีหน้าสินเชื่อโตได้ 20% เชื่อเช่าซื้อรถยังรุ่งแม้หมดโครงการรถคันแรก พร้อมเร่งขยายฐานเงินฝากรายย่อยลดต้นทุน
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน-ภัทรกล่าวว่า ภายหลังการรวมธุรกิจระหว่างธนาคารเกียรตินาคินและ บล.ภัทรฯแล้ว จะมุ่งเน้นในธุรกิจที่ทั้งสองแห่งมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะแบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธนาคารพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจตลาดทุน และกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนให้แก่ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ (Private Client) ซึ่งในไตรมาส 4 ผลกำไรของภัทรก็จะรวมกับส่วนของธนาคาร และในปีหน้าก็จะเป็นปีที่รวมผลกำไรทั้งปี ซึ่งน่าจะเติบโตได้ดี
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น ด้านการปล่อยสินเชื่อนั้น โครงสร้างจะยังคงเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นหลัก ขณะที่เงินฝากธนาคารจะเน้นหาเงินฝากออมทรัพย์ และกระแสรายวันเพิ่มขึ้น เพื่อลดต้นทุนด้านเงินฝาก จากปัจจุบันที่ธนาคารเงินฝากของธนาคาร 87% เป็นเงินฝากจำนวน 2 ล้านบาทขึ้นไป และในจำนวนดังกล่าว 53% มีวงเงินฝากเกิน 10 ล้านบาท รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณธุรกรรมรองรับการรวมธุรกิจดังกล่าว และหากลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ธนาคาร
“ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายจะเป็น universal bank ในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า แต่จะเน้นให้บริการในเรื่องที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า เราตระหนักดีว่าเรามีข้อเสียเปรียบอยู่ตรงไหน ทั้งเรื่องขนาดเงินทุนที่ไม่ใหญ่นัก สาขาที่มีไม่มาก และต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ดังนั้น เราจึงต้องหาจุดชดเชยในเรื่องของบริการที่ดี และคุ้มค่าให้แก่ผู้ใช้บริการ"
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวว่า ผลดำเนินงานของธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าพอใจ โดยสินเชื่อยังสามารถเติบโตได้ดีในระดับไตรมาสละ 4-5% จึงคาดว่าทั้งปีจะสามารถเติบโตได้ 20% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างสินเชื่อในระดับ 1.6 แสนล้านบาท โดยสินเชื่อหลักยังเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มียอดคงค้าง 1.2 แสนล้านบาท เป็นสินเชื่ออื่นๆ 4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าสินเชื่อก็จะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ 20% หรือมียอดคงค้างประมาณ 2 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.6% จากในไตรมาส 2 ที่อยู่ในระดับ 3.4% เนื่องจากผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งธนาคารได้ติดตามแก้ไขแล้ว คาดว่าไตรมาส 4 จะเข้าสู่ภาวะปกติได้ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) นั้น อยู่ที 3.9% ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ระดับ 4.3% เป็นผลมาจากต้นทุนการระดมเงินฝากที่เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
“สินเชื่อในปีหน้าคงจะยังเติบโตต่อไปได้ ทั้งในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ ที่แม้จะหมดโครงการรถยนต์คันแรกไปแล้ว แต่เชื่อว่าปีหน้าจะยังมียอดค้างส่งรถยนต์ และธนาคารเองก็ยังมีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เก่าอยู่ จึงเชื่อว่าน่าจะเติบโตได้ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้”
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานธุรกิจตลาดทุน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวว่า ความร่วมมือในด้านธุรกิจระหว่าง บล.ภัทรกับธนาคารเกียรตินาคินนั้น ส่วนที่ทำได้ทันทีเป็นธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของธนาคารเกียรตินาคินอยู่แล้ว และในธุรกิจอื่นก็จะค่อยดำเนินการต่อไป