“ปลัดคลัง” พร้อมทบทวนการห้ามใช้ยานำเข้า “กลูโคซามีน” เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม เตรียมนำกลับไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีคนเกี่ยวข้องจํานวนมาก อาจมีผลกระทบต่อ ขรก. ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 พ.ย.นี้ ย้ำนโยบายการควบคุมค่ารักษาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ รบ. ในการควบคุมค่าใช้จ่ายประจําไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของงบประมาณรายจ่าย และถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวินัยทางการคลัง แต่จะไม่ไปลิดรอนสิทธิของ ขรก. พร้อมยอมรับตัวเลขค่ารักษาพุ่งโด่ง
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีการห้ามใช้ยานำเข้ากลูโคซามีนเพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม โดยระบุว่า กระทรวงการคลังจะกลับไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีคนเกี่ยวข้องจํานวนมาก ซึ่งหากมีผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ก็จะทบทวนรายละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมีหน้าที่แจ้งกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าส่วนราชการในฐานะผู้รักษาพยาบาล ขณะที่ส่วนราชการจะเป็นต้นสังกัดข้าราชการจะได้ออกระเบียบปฏิบัติ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 นี้
นายอารีพงศ์กล่าวว่า นโยบายการควบคุมค่ารักษาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการควบคุมค่าใช้จ่ายประจํา ไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งปัจจุบัน อยู่ที่ร้อยละ 72-73 เพราะที่่ผ่านมา ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบสวัสดิการอื่นๆ ทั้งกองทุนประกันสังคม หรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค
“การควบคุมรายจ่ายรักษาพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวินัยทางการคลัง เพราะในอนาคตจะมีการกู้เงินอีกมากเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เราก็มีเป้าหมายจะคุมเพดานหนี้สาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จึงจําเป็นต้องควบคุมรายจ่ายที่สูงเกินจริง แต่ไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิของข้าราชการลง เพราะจากผลศึกษาของแพทย์เองก็พบว่า หากเทียบเคียงประสิทธิภาพยาที่ผลิตในประเทศกับยานอกแล้วไม่ต่างกัน แต่ราคาแตกต่างกันมาก แต่ก็ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย ซึ่งหากแพทย์เห็นว่าจําเป็นต้องใช้ยานอก ให้แพทย์ลงความเห็นร่วมกัน 3 คนก็ยังสามารถเบิกยาดังกล่าวได้” นายอารีพงศ์กล่าว