“SCB-TMB” ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 3 จำนวน 1 หมื่นล้าน และ 1.43 พันล้าน เพิ่มขึ้น 20% และ 91.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินเชื่อ-ค่าฟีที่เติบโตต่อเนื่อง ด้านออมสินโชว์ 9 เดือน กำไร 2.4 หมื่นล้าน จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ ที่มีปริมาณสินเชื่อกว่า 1.5 ล้านล้าน
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า ธนาคารผลกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2555 ที่ 10,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส 3 ปี 2554 โดยปัจจัยหลักขับเคลื่อนกำไรสุทธิมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อันเป็นผลจากการขยายตัวที่สูงของสินเชื่อซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 20.2% ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ด้วยหลักความระมัดระวัง ธนาคารจึงได้ตั้งสำรองเพิ่มเติมจากเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
“ผลประกอบการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงที่ต่อเนื่อง และยั่งยืนของธนาคาร การที่ธนาคารมีผลประกอบการที่ดีตลอดสามไตรมาสที่ผ่านมา มาจากการดำเนินยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่ถูกต้อง การนำไปปฎิบัติให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ และการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว”
ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นถึง 20.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นการเติบโตที่สูงของสินเชื่อเคหะ 20.7% และสินเชื่อรถยนต์ในธุรกิจลูกค้าบุคคล 39.6% และสินเชื่อ SME 25.7% ซึ่งทำให้ธนาคารประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในสองกลุ่มธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มเป็น 16.2 พันล้านบาท เติบโต 19.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.13% ลดลงจาก 2.69% ณ สิ้นไตรมาส 3/2554 และ 2.61% ณ สิ้นปี 2554
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ธนาคารได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และทำการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ทำให้อัตราส่วนเงินสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 134.9% จาก 118.7% ณ สิ้นไตรมาส 3/2554 และ 127.1% ณ สิ้นปี 2554
TMB ปลื้ม NIM เพิ่มเป็น 2.82%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ปี 2555 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิ 1,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และ 91.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ทำให้ในรอบ 9 เดือนของปี 2555 ทีเอ็มบีมีกำไรสุทธิรวม 3,731 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 จากการเพิ่มขึ้นโดยสามารถเพิ่มรายได้ทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ย และมิใช่ดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin - NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.82% จาก 2.68% ในไตรมาสที่ 2 และ 2.49% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในผลิตภัณฑ์ และการบริหารต้นทุนเงินฝากด้วยการพัฒนาผลิตภัณท์เงินฝากที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งเพื่อการออมระยะยาว และการทำธุรกรรมการเงินที่มุ่งเชื่อมโยงลูกค้าเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคุณค่าที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 7.0% จากไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา และ 25.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกัน (Bancassurance) และค่าธรรมเนียมสินเชื่อ โดยในไตรมาสที่ 3 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 และ 9.6 % เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และสินเชื่อรายย่อย ในไตรมาสนี้ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มประมาณ 3,200 ล้านบาท และมีเงินฝากของธนาคาร ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2555 เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554
ออมสินโกยกำไร 2.47 หมื่นล.
นายนันทพล กาญจนวัฒน์ กรรมการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลประกอบการธนาคารออมสินในช่วง 9 เดือน ปี 2555 มีกำไรก่อนหักผลกระทบมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 19 และตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 24,729 ล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อ รวมทั้งความสำเร็จในการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิถึง 36,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,223 ล้านบาท ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 ที่มีปริมาณถึง 1,513,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 263,597 ล้านบาท
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อข้างต้น เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2554 จำนวน 162,006 ล้านบาท หรือเติบโต 12% ซึ่งมาจากการปล่อยสินเชื่อที่เป็นไปตามนโยบายเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ สินเชื่อบุคคลรายย่อย สินเชื่อแก่ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อแก่กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก โดยที่ธนาคารฯ ยังดำรงสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรายใหญ่อยู่ที่ 94 : 6
ขณะที่การรับฝากเงิน ภายใต้ภารกิจความเป็นสถาบันเพื่อการออมของธนาคารออมสิน มียอดเงินฝากรวม 1,627,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 228,424 ล้านบาท โดยปริมาณเงินฝากยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการที่ธนาคารฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ในปีนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารฯ ยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างรัดกุม และผ่อนปรนตามความเหมาะสม โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 มีปริมาณหนี้ NPLs อยู่ที่ 1.13% ของสินเชื่อรวม หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า ธนาคารผลกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2555 ที่ 10,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส 3 ปี 2554 โดยปัจจัยหลักขับเคลื่อนกำไรสุทธิมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อันเป็นผลจากการขยายตัวที่สูงของสินเชื่อซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 20.2% ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ด้วยหลักความระมัดระวัง ธนาคารจึงได้ตั้งสำรองเพิ่มเติมจากเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
“ผลประกอบการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงที่ต่อเนื่อง และยั่งยืนของธนาคาร การที่ธนาคารมีผลประกอบการที่ดีตลอดสามไตรมาสที่ผ่านมา มาจากการดำเนินยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่ถูกต้อง การนำไปปฎิบัติให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ และการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว”
ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นถึง 20.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นการเติบโตที่สูงของสินเชื่อเคหะ 20.7% และสินเชื่อรถยนต์ในธุรกิจลูกค้าบุคคล 39.6% และสินเชื่อ SME 25.7% ซึ่งทำให้ธนาคารประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในสองกลุ่มธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มเป็น 16.2 พันล้านบาท เติบโต 19.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.13% ลดลงจาก 2.69% ณ สิ้นไตรมาส 3/2554 และ 2.61% ณ สิ้นปี 2554
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ธนาคารได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และทำการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ทำให้อัตราส่วนเงินสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 134.9% จาก 118.7% ณ สิ้นไตรมาส 3/2554 และ 127.1% ณ สิ้นปี 2554
TMB ปลื้ม NIM เพิ่มเป็น 2.82%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ปี 2555 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิ 1,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และ 91.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ทำให้ในรอบ 9 เดือนของปี 2555 ทีเอ็มบีมีกำไรสุทธิรวม 3,731 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 จากการเพิ่มขึ้นโดยสามารถเพิ่มรายได้ทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ย และมิใช่ดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin - NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.82% จาก 2.68% ในไตรมาสที่ 2 และ 2.49% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในผลิตภัณฑ์ และการบริหารต้นทุนเงินฝากด้วยการพัฒนาผลิตภัณท์เงินฝากที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งเพื่อการออมระยะยาว และการทำธุรกรรมการเงินที่มุ่งเชื่อมโยงลูกค้าเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคุณค่าที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 7.0% จากไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา และ 25.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกัน (Bancassurance) และค่าธรรมเนียมสินเชื่อ โดยในไตรมาสที่ 3 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 และ 9.6 % เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และสินเชื่อรายย่อย ในไตรมาสนี้ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มประมาณ 3,200 ล้านบาท และมีเงินฝากของธนาคาร ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2555 เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554
ออมสินโกยกำไร 2.47 หมื่นล.
นายนันทพล กาญจนวัฒน์ กรรมการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลประกอบการธนาคารออมสินในช่วง 9 เดือน ปี 2555 มีกำไรก่อนหักผลกระทบมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 19 และตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 24,729 ล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อ รวมทั้งความสำเร็จในการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิถึง 36,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,223 ล้านบาท ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 ที่มีปริมาณถึง 1,513,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 263,597 ล้านบาท
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อข้างต้น เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2554 จำนวน 162,006 ล้านบาท หรือเติบโต 12% ซึ่งมาจากการปล่อยสินเชื่อที่เป็นไปตามนโยบายเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ สินเชื่อบุคคลรายย่อย สินเชื่อแก่ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อแก่กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก โดยที่ธนาคารฯ ยังดำรงสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรายใหญ่อยู่ที่ 94 : 6
ขณะที่การรับฝากเงิน ภายใต้ภารกิจความเป็นสถาบันเพื่อการออมของธนาคารออมสิน มียอดเงินฝากรวม 1,627,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 228,424 ล้านบาท โดยปริมาณเงินฝากยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการที่ธนาคารฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ในปีนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารฯ ยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างรัดกุม และผ่อนปรนตามความเหมาะสม โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 มีปริมาณหนี้ NPLs อยู่ที่ 1.13% ของสินเชื่อรวม หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท