ทีเอ็มบีเผย ไตรมาส 2 มีกำไร 1,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากไตรมาสก่อน ระบุ จากการขยายตัวทางด้านสินเชื่อ และเงินฝากอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (จำกัด) (มหาชน) (ทีเอ็มบี) เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 1,263 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2555 ซึ่งเพิ่มขึ้น 22.4% เมื่อเทียบไตรมาสที่แล้ว และ 5.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ขณะที่ครึ่งปีมีกำไรสุทธิ 2,295 ล้านบาท
นายบุญทักษ์กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 2/2555 ธนาคารมีผลการดำเนินงานหลัก (core operation) ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งรายได้ดอกเบี้ย และมิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin-NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.67% จาก 2.51% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 และ 2.45% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ และการบริหารจัดการต้นทุนเงินฝาก ในขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 16.4% จากไตรมาสที่แล้ว จากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ และค่าธรรมเนียมสินเชื่อ
ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อของธนาคารเพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ 6.0% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 เนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กมีการขยายตัวเพิ่มมากที่สุด หรือประมาณ 5,000 ล้านบาทในไตรมาสนี้ และ 10,000 ล้านบาท สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี
ด้านเงินฝากเพิ่มขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ 7.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 ทั้งนี้ เป็นผลจากมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินฝาก “บัญชีเงินฝากไม่ประจำทีเอ็มบี” (TMB No Fixed) และเงินบริการธนาคารรูปแบบใหม่ “ME by TMB” ตลอดจนผลิตภัณฑ์ใหม่ “One Bank One Account” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิด Make THE Difference ของธนาคาร โดย One Bank One Account เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ที่ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจสามารถทำธุรกรรมทางการเงินทุกสาขาของทีเอ็มบีทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสะดวกและง่าย นับเป็นบริการที่ธนาคารจัดทำขึ้นเพื่อมอบประโยชน์ให้ลูกค้าในการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิดที่ว่า ลูกค้า คือ ลูกค้าของธนาคารไม่ใช่ลูกค้าเฉพาะสาขาใดสาขาหนึ่ง
ในด้านการบริหารสภาพคล่อง ธนาคารยังคงดำเนินการด้วยนโยบายที่รอบคอบ ระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง โดยมีการดำรงสภาพคล่องไว้ในระดับสูง ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วเงินฝาก (loan to deposit & BE ratio) ซึ่งอยู่ที่ 86.5% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2555
“ไตรมาสนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร และบริษัทย่อยมีจำนวนลดลง 2,301 ล้านบาทจากสิ้นไตรมาสที่แล้วมาอยู่ที่ 28,169 ล้านบาท ในขณะที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร และบริษัทย่อยลดลงจาก 5.84% มาอยู่ที่ 5.58% ซึ่งสำหรับงบเฉพาะธนาคาร สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 5.17% และในไตรมาสนี้ ธนาคารได้มีการตั้งสำรองทั้งสิ้นจำนวน 932 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 79.0% จาก 74.0% ณ สิ้นไตรมาสที่แล้ว”
อนึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2/2555 ธนาคารดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio-CAR) อยู่ที่ 18.7% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.5%