กองทุนออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย เล็งลงทุนในบริษัทไทยอีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังลงทุนไปแล้ว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เตรียมนำโรงพยาบาลเวชธานีเข้าจดทะเบียนปีหน้า จากปีนี้ นำฮอท พอท เข้าเทรด “ด้านผู้บริหารกองทุน” แจง ประเทศในเอเชียให้ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวดีที่สุดหากมีการลงทุนขณะนี้ “เวียดนาม-ฟิลิปปินส์-ไทย” เหตุราคาไม่แพง ด้าน “ฮอท พอท” เคาะขายหุ้นไอพีโอ 2.80 บาทต่อหุ้น
นายศรีสันต์ จิตราวรนันท์ ผู้จัดการกองทุนออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย สัญชาติดูไบ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นกองทุนที่มีการลงทุนทั่วโลก (โกลบอลฟันด์) ที่มีขนาดกองทุน 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริหารเงินลงทุนให้แก่รัฐบาลอังกฤษ นอร์เวย์ฟันด์ แบงก์เยอรมัน สถาบันการเงินญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งมีการลงทุนในเอเซีย คือ กองทุนออรีออส เซาท์อีสท์เอเชีย จำนวน 2 กองทุน คือ 1.กองทุนออรีออส เซาท์อีสท์ เอเชีย 1 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนย จำนวน 86 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม โดยปัจจุบัน กองทุนนี้ได้มีการลงทุนครบวงเงินแล้ว
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีวงเงินที่ใช้ลงทุนในประเทศไทย จำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีธนาคารออมสิน ร่วมลงทุนด้วยจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกองทุนฯ จะเน้นลงทุนในบริษัท รีเทล โรงพยาบาล ธุรกิจอุปโภคบริโภค เช่น โรงพยาบาลเวชธานี โดยมีแผนที่จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้า เช่นเดียวกับ บริษัท ฮอท พอท ด้วยการลงทุนขั้นต่ำในแต่ละบริษัทจำนวน 100 ล้านบาท
สำหรับกองทุนออรีออส เซาท์อีสท์ เอเชีย 2 นั้น มีวงเงินลงทุนจำนวน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนใน 5 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และ มาเลเซีย ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประเทศละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการลงทุนขั้นต่ำในแต่ละบริษัทจำนวน 150 ล้านบาท ล่าสุด ต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการลงทุนในไทยแล้วจำนวน 1 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจขนส่งข้ามชาติ โดยการลงทุนของกองทุนนั้นมีนโยบายการลงทุนระยะยาว และคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนที่ 20% ต่อปี
นายศรีสันต์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าประเทศในแถบเอเชียที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุดในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า หากมีการลงทุนในปัจจุบัน คือ เวียดนาม จากที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมาจำนวนมาก ราคาไม่แพง รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ จากที่เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเห็นได้จากดัชนีหุ้นของฟิลิปปินส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดทำสถิติใหม่ (นิวไฮ) และไทย แม้ดัชนีราคาหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลตอบแทนที่ต่ำ แต่หากเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศก็จะได้รับผลตบอแทนที่ดี ส่วนอินโดนีเซียนั้นมองว่าไม่ค่อยน่าสนใจที่สุด เพราะสินทรัพย์ทุกอย่างถือว่ามีราคาสูงไปแล้ว
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทได้มีการลงทุนใน ฮอท พอท ตั้งแต่ปี 2549 และได้นำหุ้นร่วมเสนอขายไอพีโอครั้งนี้ 40.6 ล้านหุ้น ภายหลังจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 9.8% จากเดิม 23.33% สำหรับหุ้นที่เหลือนั้นยังไม่มีแผนจะขายเพราะมองว่าธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีก โดยเฉพาะภายหลังการซื้อไดโดมอน
**ฮอท พอท เคาะขายหุ้นไอพีโอ 2.80 บาท
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินะนา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) หรือ HOTPOT กล่าวว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ฮอท พอท ที่ 2.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สำรวจความสนใจจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (บุ๊กบิวดิ้ง) จากช่วงราคาหุ้น 2.60-2.80 บาทต่อหุ้น โดยนักลงทุนสถาบันสนใจจองซื้อหุ้นที่ราคาดังกล่าวสูง 4 เท่าของจำนวนที่จัดสรรให้จำนวน 20 ล้านหุ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภคในประทเศที่เป็นที่สนใจในการลงทุน
ขณะที่ราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ที่ 2.80 บาทนั้น เป็นราคาที่ไม่สูง โดยมีค่า P/E ที่ 11 เท่า ขณะที่กลุ่มอาหารที่จดทะเบียนในตลาดอยู่ที่ 20-30 เท่า อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าการเข้าซื้อขายวันแรก หุ้นของ ฮอท พอท จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก
สำหรับหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้จำนวน 101.98 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาทต่อหุ้น แบ่งหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 61.38 ล้านหุ้น และอีก 40.60 ล้านหุ้น เป็นหุ้นเดิมของกองทุน ออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย ออกมาขาย โดยจัดสรรให้แก่นักลงทุนทั่วไป จำนวน 64.65 ล้านหุ้น เสนอขายแก่นักลงทุน จำนวน 20 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้มีอุปการคุณ 17.32 ล้านหุ้น โดยจะเปิดจองซื้อในวันที่ 7 และ 10-11 กันยายนนี้ ซึ่งจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 18 กันยายน 2555