xs
xsm
sm
md
lg

ไทยพาณิชย์คาดส่งออกไทยปีนี้และปีหน้าอาจโตแค่ 5% หากวิกฤตยุโรปแย่กว่าที่คาดไว้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไทยพาณิชย์คาดส่งออกไทยปีนี้ และปีหน้าอาจโตแค่ 5% หากวิกฤตยุโรปแย่กว่าที่คาดการณ์เอาไว้ โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก นอกจากนี้ การลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นผลลบต่อกลุ่มยางพารา และอุตสาหกรรมเหล็ก

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจ และผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ โดย ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “EIC ปรับประมาณการของเศรษฐกิจไทยปี 2013 ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปจากมุมมองเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ของการส่งออก อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศยังอาจมีผลกระทบกับโครงสร้างการผลิต และความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาวอีกด้วย”

เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีความเปราะบางกว่าที่คาดไว้ ดร.สุทธาภา กล่าวว่า “โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง เห็นได้จากดัชนีการสั้งซื้อสินค้าอุตสาหกรรม PMI New Orders ที่ยังหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ทางการจีนใช้นโยบายการเงินกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศไปแล้วหลายครั้งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จีนพึ่งพาเศรษฐกิจยุโรปค่อนข้างมาก สำหรับในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เศรษฐกิจยุโรปยังจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการขอผ่อนปรนเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือของกรีซ และมาตรการของธนาคารกลางยุโรปในการช่วยเหลือลดต้นทุนการกู้ยืมของสเปน และอิตาลี ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปหดตัวลงมากกว่าที่คาดไว้ได้ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่เศรษฐกิจโลกได้”

การส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้น้อยลงกว่าที่คาดไว้เดิม ดร.สุทธาภา กล่าวว่า “EIC ประเมินว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ประมาณ 8% ในปีนี้ และ 11% ในปีหน้า แต่หากยุโรปแย่กว่าที่คาด การส่งออกอาจจะขยายตัวได้เพียง 5% ทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก นอกจากนี้ การลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นผลลบต่อกลุ่มยางพารา และอุตสาหกรรมเหล็ก”

แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ทำให้ยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ ดร.สุทธาภา มองว่า “การที่ราคาน้ำมันดิบยังยืนอยู่ในระดับเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในขณะนี้ และยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงจากปัจจัยด้านอุปทาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2013 ไม่ต่างจากระดับปัจจุบันมากนัก ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2013 น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงน่าจะทำให้การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายยังสามารถทำได้ ดังนั้น EIC จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่มีการปรับขึ้นในปี 2013 และมองว่า การใช้จ่ายในประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะมีน้ำหนักในการดำเนินนโยบายการเงินมากกว่าปัจจัยด้านเงินเฟ้อในช่วงนี้”

มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของรัฐบาลอาจมีผลต่อโครงสร้างการผลิตของไทยในระยะยาว ดร.สุทธาภา มองว่า “นโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรก และนโยบายการรับจำนำข้าวในราคาสูงอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิต รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว”

ซึ่งในประเด็นนี้ คุณธีรินทร์ รัตนภิญโญวงศ์ Head of Sectorial Strategy มองว่านโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรกนั้นมีแง่บวกในการเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพัฒนาความสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ eco-car ในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มเติมจากการเป็นผู้ผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ที่ผลิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ทั้งนี้ ก็มีความเสี่ยงในการลดความสำคัญของการผลิตรถยนต์ขนาด 1500-3000 ซีซี ซึ่งในปัจจุบัน เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับกลุ่มรถยนต์นั่งของโลกและยังเติบโตถึง 10% การเน้นผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาต่อคันที่ต่ำกว่านั้น ต้องให้ความสำคัญต่อการผลิต และการขายในเชิงปริมาณ ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลต่อการขยายมูลค่าการส่งออก และผลประกอบการของผู้ผลิตในอนาคต

โดยในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวนั้น จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว เนื่องจากชาวนามีแรงจูงใจให้เร่งปลูกพันธุ์ข้าวอายุสั้นเพื่อเพิ่มรอบการผลิตโดยขาดแรงจูงใจในการพัฒนาพันธุ์ข้าว ทั้งนี้ ยังจะมีผลต่อคุณภาพของดินทำให้ต้องมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การที่ราคารับจำนำสูงกว่าตลาดมากทำให้ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ไทยเสียตำแหน่งผู้นำในการส่งออกข้าวในตลาดโลก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตนั้นควรจะหันไปให้ความสนใจ และสนับสนุนการวิจัยพันธุ์ข้าวที่มีประสิทธิภาพ การจัดรูปและปรับที่ดินให้เหมาะสมต่อการผลิต รวมถึงการให้ความสำคัญกับการปลูกพืชหมุนเวียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการผลิต และความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาวมากกว่า


กำลังโหลดความคิดเห็น