หุ้นไทยยังนิ่งรอผลประชุมเฟด และ ECB หากมีมาตรการออกมาจะช่วยผลักดันดัชนี บล.กรุงศรีประเมินครึ่งปีหลัง ปรับตัวขึ้นตามเป้าหมาย 1,278 จุด จากแรงหนุนในเชิงบวกจากการบริโภคภายใน ภาคการเงินที่แข็งแกร่ง และมาตรการภาครัฐฯ สนับสนุนการเติบโต ดันกำไรสุทธิต่อหุ้นโต 21%
ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,201.13 จุด เพิ่มขึ้น 1.83 จุด หรือ 0.15% มูลค่าการซื้อขาย 24,530.15 ล้านบาท ภาพรวมเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดฯ กำลังรอผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่หลายฝ่ายเชื่อว่า จะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ECB หากมีมาตรการออกมา ก็จะทำให้ดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แต่หากไม่มีดัชนีฯ ก็มีสิทธิ์อ่อนตัวลง ในแนวรับ 1,180 จุด แนวต้าน 1,200-1,220 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2555 ว่า มีมุมมอง “Neutral” ถึง “Positive” ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยมามาจาก 1) แรงหนุนในเชิงบวกจากการบริโภคภายใน 2) ภาคการเงินที่แข็งแกร่งสามารถที่จะรองรับผลกระทบจากภายนอกได้ และ 3) มาตรการภาครัฐฯ ที่สนับสนุนการเติบโต แม้ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องวิกฤตหนี้สินในยุโรป, การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ แต่ไม่คิดว่าจะมีผลกระทบอย่างนัยสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้
“เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 55 ของ SET Index สำหรับปี 55 ขึ้นจาก 11% เป็น 21% และปรับเพิ่ม ROE จาก 14% เป็น 15% จากคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการของหุ้นในกลุ่มที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด”
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของ GDP อาจถูกกระทบช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจากด้านของอุปทาน (supply) และการชะลอตัวของการส่งออกที่คาดว่าจะลงมาอยู่ในอัตรา 7-10% (จากเป้าของภาครัฐฯ ที่ 15%) จากผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และวิกฤตหนี้สินในยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ในช่วงครึ่งปีหลัง และเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี คาดว่าสิ้นปีคาด SET ที่ 1,187-1,278 จุด 13xP/E - 14xP/E โดยปัจจุบัน SET ซื้อขายกันอยู่ที่ 14.3xPE / 2.08xP/BV (1,188 จุด) และคาดว่าสะท้อนปัจจัยบวกไปในราคาหุ้นแล้ว ทำให้การปรับขึ้นอยู่ในขีดจำกัด การไหลเข้าของเงินทุนน่าจะไม่เกิดขึ้น นอกจากจะว่ามีนโยบายทางการเงิน เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(Quantitative Easing - QE) หรือมาตรการปล่อยเงินกู้ระยะยาว (Long-Term Refinancing Operatoins - LTRO) เกิดขึ้นอีก
ดังนั้น ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากระดับดัชนีใกล้เคียงเป้าหมายสิ้นปีแล้ว และมีโอกาสผันผวนช่วงใกล้ประกาศผลการดำเนินงาน Q2/55 การลงทุนแนะนำ ทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศทั้ง ธนาคาร, ชิ้นส่วนรถยนตน์, สื่อสาร และค้าปลีก หุ้นที่เป็น Top Pick ได้แก่ KBANK, TCAP, TISCO, STANLY, SAT และ IHL
ภาพรวมเป้าหมายดัชนีครึ่งปีของ บล.กรุงศรี อยู่ที่ 1,278 จุด อิงวิธี P/E กรอบ 13-14 เท่า เราได้ช่วงดัชนีที่ 1,187-1,278 จุด สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 55 และประเมินความเสี่ยงทางลงที่สำคัญของดัชนี จะอยู่ที่ 1,096-1,100 จุด จาก ณ ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่สูงกว่า 14 เท่า P/E และกว่า 2 เท่าของ P/BV โดยการปรับขึ้นของดัชนีจากนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ (HigherPrice Premium & Risk) แต่เชื่อว่า จะเป็นในช่วงเวลาสั้น และอาจเผชิญแรงขาย
ส่วนปัจจัยที่คาดมีผลต่อดัชนีในช่วงครึ่งปีหลัง คือ 1.นักลงทุนต่างชาติยังคงถือครองหุ้นไทยอยู่ โดยมีปัจจัยของภาพเศรษฐกิจในเชิงบวกช่วยหนุนอยู่ 2.ปัจจัยเชิงบวกจากการปรับประมาณการณ์ขึ้นได้สะท้อนเข้าไปในราคาแล้ว 3.ปัจจัยด้านมหภาคยังไม่สนับสนุนจิตวิทยาการลงทุน เช่น หนี้สินของยุโรปยังเรื้อรัง และมีแนวโน้มไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้น, เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปยังมีสัญญาชะลอตัว, การเปิดสภาฯ ช่วงต้นเดือน ส.ค.อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง
4.ปัจจัยด้านผลการดำเนินงานของ SET ยังแข็งแกร่ง คาดกำไรต่อหุ้นของ SET จะโตต่อเนื่องกว่า 21% ในปี 55 และ 13%ในปี 56 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดจาก 30% เหลือ 23% ในปี 55 และ 20% ตั้งแต่ปี 56, อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่ทรงตัวในระดับต่ำอย่างน้อยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 จะสนับสนุนการบริโภค และการลงทุนในประเทศ, งบลงทุนในระบบสาธารณูปโภคกว่า 2.38 ล้านล้านบาท (+10%YoY) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ยังสนับสนุนการเติบโตของ GDP
และ 5. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ปัจจุบันมีการฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ แต่คิดว่าน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นกว่านี้ ความเชื่อมั่นอาจถูกกดดันจากข่าวการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมในปีนี้ และสถานการณ์ทางการเมือง และที่เพิ่งกลับมาก็คือ ราคาน้ำมัน