xs
xsm
sm
md
lg

หนี้ยุโรปฉุดหุ้นไทยร่วง15จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยร่วง 15 จุด กังวลวิกฤตยุโรปกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้และรัฐบาลสเปนอาจต้องเข้าขอรับความช่วยเหลือการเงินกดดันต่างชาติเทขายสุทธิ 4วันทำการทั้งในตลาดหุ้นและอนุพันธ์ร่วมหมื่นล้านอีกทั้งแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส2เริ่มหมด โบรกฯมองเข้าสู่ช่วงขาลงด้าน บล.กรุงศรี ให้ทั้งปี 1,278 จุด ชี้ส่งออกโตไม่ตามเป้า15%ฉุดจีดีพีไทยเหลือ 5% พร้อมให้จับตาประชุมเฟดสิ้นเดือนนี้ ลุ้นQE3

ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้(26ก.ค.) ดัชนีปิดบวกในช่วงเช้าและเคลื่อนไหวลงสู่แดนลบตลอดการซื้อขายในช่วงบ่าย โดยปิดที่ 1,172.92 จุด-15.70 จุด หรือ -1.32% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,196.37 จุดและต่ำสุดที่ระดับ 1,172.92 จุด มูลค่าการซื้อขาย 28,050.49 ล้านบาททั้งนี้พบว่า มีแรงเทขายหุ้นในกลุ่มพลังานมากสุดเช่นเดียวกับแรงเทขายหุ้นในกลุ่มสื่อสาร

โดยการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ขายสุทธิ 623.40 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิ 544.13ล้านบาท และ76.34 มีเพียงนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ1,243.87 อย่างไรก็ตาม พบว่าในช่วง 3วันทำการที่ผ่านมา(23-25ก.ค.)นักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิสินทรัพย์ลงทุนในไทยออกไปประมาณ1หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยประมาณ 6,172 ล้านบาทและการปิดสัญญาในตลาดอนุนพันธ์ ถึง 4,799 สัญญา

หนึ่งในสาเหตุของเรื่องดังกล่าว ประเมินว่ามาจากกรีซเริ่มมีความเสี่ยงที่จะต้องผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะหนี้ที่ครบกำหนดชำระในเดือน ส.ค. ถึง 5.4 พันล้านยูโร ขณะที่สเปนประเด็นการขยายอำนาจให้แก่ ESM เพื่อปล่อยกู้ธนาคารในสเปนเพื่อลดภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาลมีความล่าช้า เพราะกว่าจะตั้ง ESMได้ก็ต้องรอไปอีกไกลถึงปลาย ก.ย.และการที่รัฐสภาเยอรมันอนุมัติให้เข้าร่วมการช่วยเหลือเพื่อเพิ่มทุนให้กับแบงก์ในสเปนตามแผนของ EU จำนวน 1 แสนล้านยูโร ก็มีเงื่อนไขพ่วงว่ารัฐบาลสเปนจะต้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จำนวนดังกล่าวและเป็นผู้รับผิดชอบหากมีความเสียหายเกิดขึ้นหมายความว่าสเปนยังต้องรับภาระในเรื่องดังกล่าวด้วยขณะที่สภาพของรัฐบาลตอนนี้ก็ใกล้ถังแตกเต็มทีสุดท้ายแล้วหากสเปนไม่สามารถยื้อเวลาต่อไปได้ภาครัฐบาลอาจต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินด้วยเช่นกัน

หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 148 หลักทรัพย์ ลดลง 426หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 123 หลักทรัพย์โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่BANPUมูลค่าการซื้อขาย 2,171.47 ล้านบาท ปิดที่ 406.00 บาท ลดลง 24.00 บาทCPF มูลค่าการซื้อขาย 2,004.77 ล้านบาท ปิดที่ 32.00 บาท เพิ่มขึ้น0.25 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 982.56 ล้านบาท ปิดที่ 316.00 บาทลดลง 2.00 บาท DTAC มูลค่าการซื้อขาย 944.18 ล้านบาท ปิดที่83.25 บาท ลดลง 1.00 บาท และCPALL มูลค่าการซื้อขาย 899.56 ล้านบาทปิดที่ 34.00 บาท ลดลง 0.25 บาท

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.บัวหลวง(BLS)กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคทำให้มองว่าตลาดได้หมดรอบของการปรับตัวขึ้นแล้ว จึงได้มีการแนะนำให้ขายเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นรับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไปมากแล้วส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีก(Commerce)ปรับตัวลงมาจากผลประกอบการออกมาน่าผิดหวังและคาดถูกขายทำกำไรโดยนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายสถาบันเนื่องจากที่ผ่านมาได้เข้าไปเก็บหุ้นในกลุ่มนี้ไว้มาก อย่างไรก็ดีตลาดฯกำลังรอดูสัปดาห์หน้าในการประชุมของเฟด(ธนาคารกลางสหรัฐฯ)และการประชุมECB(ธนาคารกลางยุโรป) ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นไร ส่วนแนวโน้มวันนี้(27ก.ค.) ดัชนีคงปรับตัวลงต่อ แนวรับ 1,166-1,150 จุด แนวต้าน 1,180 จุด

**กรุงศรีคาดสิ้นปีหุ้นไทย 1,187-1,278จุด

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.กรุงศรี จำกัด กล่าวในงานสัมนาทิศทางการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ว่า เศรษฤฐกิจในปี 2555เชื่อว่าจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปและสหรัฐฯมีผลต่อการส่งออกของประเทศทำให้ไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปถึงเป้าหมาย15%ได้ โดยจะทำได้แค่ 7-9%ส่วนอัตราดอกเบี้ยประเมินว่าทั้งปี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะคงไว้ที่3% อย่างไรก็ตามช่วงนี้นักลงทุนต่างเฝ้าติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะเริ่มขึ้นในวันที่31ก.ค.-1ส.ค.นี้ว่าจะมีผลออกมาเช่นเพราะหลายฝ่ายต่างคาดหวังให้มีการใช้มาตรการQE3 ออกมากระตุ้เศรษฐกิจ

ทั้งนี้หุ้นไทยในครึ่งปีหลัง บล.กรุงศรี เชื่อว่าดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ1,187 - 1,278จุด P/E ที่ 13-14 เท่า และมีแนวรับสำคัญที่ 1,100 จุดโดยในช่วง 1 เดือนจากนี้ดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 1,180 - 1,210
จุด หุ้นที่น่าลงทุนได้แก่หุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ

ขณะที่กลุ่มพลังงาน แนะนำเป็นการลงทุนแบบ Tradingเช่นเดียวกับกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มคอมเมิร์ซ
(ค้าปลีก)ที่มองว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้วส่วนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสหกรรมรถยนต์
ถือเป็นอีกหนึ่งที่น่าสนใจเข้าลงทุน รวมแล้ว หุ้นที่แนะนำเข้าลงทุนคือKBANK TCAP TISCO STANLY SAT AP QH
กำลังโหลดความคิดเห็น