“คลัง” แต่งตั้ง 13 สถาบันการเงินดูแล-สร้างสภาพคล่อง “ตลาดตราสารหนี้” พร้อมเป็นตัวกลาง เพื่อสื่อสาร "นักลงทุน" ทั้งในและนอกประเทศ เผยมีหน้าที่เข้าร่วมประมูล “บอนด์รัฐบาล” อย่างสม่ำเสมอ แต่ต้องรักษาสัดส่วนถือครอง 5% สำหรับรุ่นที่กำหนด ส่วนด้านสิทธิประโยชน์จะได้รับการจัดสรร “บอนด์” ทุกล็อตในตลาดแรก มีผล 1 ต.ค.นี้
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 13 แห่ง เพื่อเป็นผู้ค้าหลักสำหรับธุรกรรมประเภทซื้อขายขาดของกระทรวงการคลัง โดยให้เป็นผู้ทำหน้าที่สร้างสภาพคล่องให้ตลาดตราสารหนี้ (มาร์เกตเมกเกอร์) และเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับนักลงทุน เพื่อขยายนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับหน้าที่และสิทธิประโยชน์ของสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้ง จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 โดยหน้าที่ของสถาบันการเงิน ได้แก่ การเข้าร่วมประมูลพันธบัตรรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ การได้รับจัดสรรการประมูลพันธบัตรรุ่นที่กระทรวงการคลังกำหนดในตลาดแรก และการรักษาสัดส่วนการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่กระทรวงการคลังกำหนดในตลาดรองไม่น้อยกว่า 5% รวมถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในมิติต่างๆ ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีการกำกับ ติดตาม และการประเมินผลการทำหน้าที่ในตลาดแรกและตลาดรองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่สถาบันการเงินได้รับคือ การเข้าประมูลพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 5 ปี เป็นคู่ค้าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง ได้รับการพิจารณาเป็นคู่ค้าของกระทรวงการคลังในการทำธุรกรรมต่างๆ และมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และให้คำปรึกษาแก่กระทรวงการคลังในการวางแผนการออกตราสารหนี้ภาครัฐ
สำหรับสถาบันการเงินที่ได้รับการคัดเลือกประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส สาขากรุงเทพฯ ธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ. ธนาคารดอยช์แบงก์ เอจี สาขากรุงเทพฯ
ธนาคารเดอะรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เอ็น.วี ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเอ็นพี พารีบาส์ สาขากรุงเทพฯ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน)