ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี อวดไตรมาส 2 ปีนี้กำไรพุ่ง 1,741.37% ขณะครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 1,204.22 ล้านบาท “ชาคริต” มั่นใจธุรกิจคอนกรีตครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เอกชนขยายการลงทุนทั่วประเทศ ความต้องการตลาดสูง โอกาสคว้างานใหม่เพียบ ส่วนระยะยาวเมกะโปรเจกต์รัฐหนุน ประกาศพร้อมลุยทุกโครงการ
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/55 ว่า บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 625.66 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 526.74 ล้านบาท จำนวน 98.92 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.77% และมีกำไรสุทธิ 32.04 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1.74 ล้านบาท จำนวน 30.3 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,741.37%
ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 55 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,204.22 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,105.76 ล้านบาท จำนวน 98.46 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.9% และมีกำไรสุทธิ 66.42 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 6.5 ล้านบาท จำนวน 59.92 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 921.84%
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโต เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของโครงการก่อสร้างต่างๆ ทั้งงานโครงการใหม่ และงานบูรณะซ่อมแซม จึงส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้าง เช่น คอนกรีตสำเร็จรูป ผนังคอนกรีต อิฐมวลเบา รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้มีการปรับเพิ่มขึ้นของราคา
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้ในทุกหน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจผลิต และจำหน่ายปูนผสมเสร็จ และผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และตกแต่ง และธุรกิจผลิต และจำหน่ายอิฐมวลเบา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 17% ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 13.32% ส่วนมูลค่างานในมือของบริษัท ณ เดือน มิ.ย. 2555 อยู่ที่ประมาณ 2,110 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 18 เดือน ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ประมาณ 35-40% ปูนผสมเสร็จ (Ready Mix) ประมาณ 60-68% ของบริษัทแม่ ซึ่งบริษัทแม่มีรายได้รวมคิดเป็น 59.25% ของกลุ่ม บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด อยู่ที่ 15.85% และบริษัท ชลบุรีกันยง จำกัด อยู่ที่ 24.90%
นายชาคริต กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ธุรกิจคอนกรีตยังมีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยปัจจัยสนับสนุนเกิดจากการลงทุนโครงการก่อสร้างภาคเอกชน ซึ่งมีการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่น โครงการก่อสร้างกระจายตัวสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการย้ายฐานการผลิต การขนส่ง การเติบโตของที่อยู่อาศัยในหัวเมืองต่างๆ ขณะที่การลงทุนในโครงการภาครัฐ คาดว่าจะทยอยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ทั้งนี้ การขยายตัวของงานก่อสร้างดังกล่าว ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากทำให้ความต้องการคอนกรีตปรับตัวสูงขึ้น และมีโอกาสในการเข้ารับงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของงานคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากเพราะสามารถผลิตรอตามความต้องการของผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการได้ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน การขาดแคลนวัตถุดิบหิน ทราย ที่อาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลา และต้นทุนในการก่อสร้าง
“ธุรกิจคอนกรีต รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างเป็นช่วงขาขึ้น และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกอย่างน้อย 5 ปี เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์จำนวนมาก เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) การก่อสร้างขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ฯลฯ และในส่วนของโครงการภาคเอกชน ความต้องการใช้งานในตลาดยังอยู่ในระดับสูง ตามการขยายตัวของโครงการก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ” นายชาคริตกล่าว