xs
xsm
sm
md
lg

อาเพศแห่งคำทำนาย: “ผู้ปกครองเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ” !?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

“จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง”

คำกลอนทำนายข้างต้นจำได้ว่าคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางคนอ้างว่าเป็นการทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เกจิอาจารย์ แห่งวัดจันทาราม (ท่าซุง) ที่มีไว้นานแล้ว ทีมงานวัดท่าซุงได้แจ้งว่าข้อความดังกล่าวไม่ใช่คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่เคยปรากฏหลักฐานว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนายอย่างที่ว่านั้นที่ไหน อย่างไร และคงไม่มีใครพิสูจน์หรือสอบถามจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เพราะท่านได้มรณภาพไปนานแล้ว

“กลอนทำนายปริศนา” ที่ว่านั้นไม่มีใครพิสูจน์ทราบได้ว่า ใครเป็นคนแต่ง และแต่งมาโดยได้ยินจากปากหลวงพ่อฤาษีลิงดำเอง หรือเป็นการแปลความและเข้าใจเอาเองอีกชั้นหนึ่ง หรือคิดแต่งขึ้นมาเองโดยไม่มีมูลหรือไม่ แต่ก็ได้มีการเผยแพร่กันไปอย่างกว้างขวางในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

เพียงแต่เห็นว่าสถานการณ์น้ำท่วมจนชาติวิกฤติครั้งนี้ช่างบังเอิญสอดคล้องกับคำทำนายซึ่งต่อมาจากคำทำนายข้างต้นว่า

“จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ”

ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดคนที่สนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เชื่อกลอนทำนายชุดนี้จึงอ้างแต่ท่อนที่ว่า “จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง” แต่กลับไม่อ่านต่อให้จบ ดังนั้นท่านผู้อ่านลองอ่านฉบับเต็มของคำทำนายชุดนี้แล้วดูว่ามีความสอดคล้องกับความจริงหรือไม่อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์จริงในอดีตและปัจจุบัน ดังนี้

คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ


นั่นคือความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งในคำทำนายดังกล่าวข้างต้น แต่น้ำท่วมครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งถือเป็นบทเรียนราคาแพงของคนในชาติ ที่จะช่วยกระตุกความคิดต่อไปว่าเราจะเดินหน้ากันต่อไปอย่างไร?

แต่อย่างน้อยคนที่เชื่อกลอนบทนี้ อาจจะมีความหวังให้เกิดขึ้นมาก็ได้ว่าหลังสิ่งเลวร้ายผ่านไป “มหาชน”จะได้ตื่นรู้และช่วยลุกกันขึ้นมาพากันเปลี่ยนบ้านเมืองปราบคนชั่วให้ราบสิ้น เพื่อเปลี่ยนประเทศใหม่ (หลังจากมืดมิดและสิ้นหวังมายาวนาน)

กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงซึ่งเป็นศูนย์กลางการช่วยเหลือ การขนส่ง การโทรคมนาคม และการบัญชาการ ถูกศึกน้ำล้อมปิดรอบทิศ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ศึกน้ำเหนือเขื่อนล้นทำนบพังทลายไหล่บ่าท่วมมิดบ้านเรือน
ศึกน้ำใต้ทะเลจะหนุนสูงบุกเมือง
ศึกน้ำใต้ดินจะดันขึ้นผุดขึ้นรอบด้าน
ศึกน้ำบนฟ้าพายุจะกระหน่ำฝนโปรยปรายอีกหลายระลอก

หลายคนตั้งคำถามว่า ฤานี่จะเป็น “อาเพศ”!!?

“อาเพศ”
ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “เหตุเกิดขึ้นอย่างผิดปรกติวิสัย ถือเป็นลางไม่ดี”

เมื่อนับแล้วน้ำท่วมรอบนี้ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงวันนี้ท่วมมาแล้วถึง 46 จังหวัด 327 อำเภอ เมื่อแยกตามอำเภอแล้วนับรวมเป็นพื้นที่เลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วจำนวน 160 เขต

เป็นพื้นที่อำเภอที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากพรรคเพื่อไทยมากที่สุดถึง 111 เขต คิดเป็นร้อยละ 69.37 ของเขตพื้นที่เลือกตั้งน้ำท่วมทั้งหมด

เป็นพื้นที่อำเภอที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาธิปัตย์ 24 เขต คิดเป็นร้อยละ 14.38 ของเขตพื้นที่เลือกตั้งน้ำท่วมทั้งหมด

เป็นพื้นที่อำเภอที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคภูมิใจไทย 17 เขต คิดเป็นร้อยละ 10.62 ของเขตพื้นที่เลือกตั้งน้ำท่วมทั้งหมด

เป็นพื้นที่อำเภอที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคชาติไทยพัฒนา 9 เขต คิดเป็นร้อยละ 5.62 ของเขตพื้นที่เลือกตั้งน้ำท่วมทั้งหมด

เป็นพื้นที่อำเภอที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 1 เขต คิดเป็นร้อยละ 0.62 ของเขตพื้นที่เลือกตั้งน้ำท่วมทั้งหมด

และไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งของพรรคการเมืองใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคนเหล่านี้เป็นคนไทย ที่คนไทยด้วยกันจะต้องไม่ทอดทิ้งกันในยามวิกฤติ ไม่ว่าจะมีความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม

เพียงแต่ที่นำตัวเลขมานำเสนอให้ดูนั้น ก็เพียงให้ลองคิดดูว่าพื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับพื้นที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย แต่เราก็ได้เห็นบริษัทขนาดใหญ่ ดาราศิลปิน ผู้สื่อข่าว หลายคนออกหน้ามาช่วยวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ แม้แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภา ต่างออกมา ช่วยวิกฤติของชาติครั้งนี้โดยไม่แบ่งแยก

แต่ที่ต้องตั้งข้อสังเกตก็คือ วิกฤติน้ำท่วมเกิดขึ้นกับในพื้นที่ของประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ถึงเกือบร้อยละ 70 จนถึงขั้นมีประชาชนล้มละลายแทบสิ้นเนื้อประดาตัวจำนวนมาก แต่เรากลับไม่ได้ยินข่าว “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” แม้แต่นิดเดียว !

“ข่าวของนักโทษชายทักษิณหายวับไปกับตา” ราวกับไม่ต้องการให้ใครพูดถึงในเวลานี้ เลยถือโอกาสทวงถามแทนผู้ประสบอุทกภัยครั้งนี้ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย)ว่า นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อัครอภิมหาเศรษฐีขวัญใจคนเสื้อแดงจะมีน้ำใจช่วยบริจาคครั้งนี้ด้วยเงินสัก “กี่ร้อยล้าน”หรือ “กี่พันล้าน”บาท?

“วิกฤติน้ำท่วม”
ครั้งนี้ได้แง่คิดและบทเรียนอยู่มากมายหลายประการ แต่จะขอหยิบยกบางประเด็นให้ท่านผู้อ่านได้ลองคิดพิจารณาดู

ภาพที่น่าสะเทือนใจที่เห็นบ่อยครั้งก็คือ “ความไม่รู้” ตัวอย่างที่เห็นบ่อยเช่นการเตรียมตัวรับกับสถานการณ์น้ำท่วม หลายคนอุตส่าห์ขนกระสอบทรายมากั้นไว้ที่หน้าบ้านตัวเอง แต่ด้วยความไม่รู้ในวิธีการเรียงกระสอบทรายก็ได้ทำให้ถูกน้ำดันจนพังทลาย

และชาวบ้านส่วนใหญ่อุตส่าห์วางเรียงกระสอบทรายได้สำเร็จกันน้ำจากภายนอกได้ แต่ลืมไปว่าน้ำจากภายนอกไหลย้อนเข้ามาผ่านท่อน้ำทิ้งจนเข้ามาในตัวบ้านอาคาร หรือโรงพยาบาล ซึ่งเป็นลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก

ความไม่รู้ทำให้เสียเงินเปล่าที่หาซื้อกระสอบทราย และเสียแรงเปล่าที่ขนกระสอบทรายมาวาง


ความจริงแล้วหากต้องการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าไปในอาคารบ้านเรือนของตัวเอง โดยยังใช้น้ำประปาและห้องน้ำอยู่ได้ (หากระดับน้ำไม่สูงเกินไป) มีข้อแนะนำ “สำหรับคนที่ยังไม่รู้”ดังต่อไปนี้

1.กระสอบทรายควรวางเป็นขั้นบันไดเรียงลำดับลงไปทั้งด้านนอกและด้านในเท่ากับความสูงของน้ำที่คาดการณ์เอาไว้ โดยฐานทำนบควรกว้างไม่น้อยกว่า 3 เท่าของความสูง
อุดใต้กระสอบทรายด้วยดินหรือทราย วางแต่ละชั้นให้ชั้นบนทับบนรอยต่อระหว่างถุงด้านล่าง ชั้นรองสุดท้ายควรวางทับบนแผ่นพลาสติกแล้วพลิกมาหุ้มปิดทับกระสอบทายอีกชั้นหนึ่งให้สูงเกือบถึงสันทำนบเพื่อกันน้ำซึม (อย่าขึงตึงจะทำให้ขาดง่าย) ดังนั้นหากมีแผ่นพลาสติกกันน้ำคลุมแน่นหนาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระสอบทรายเสมอไป สามารถใช้วัสดุประยุกต์ ที่มีน้ำหนักแทนได้เช่น กระสอบกรวดอัดแน่น ฯลฯ


ภาพ: แสดงตัวอย่างการเรียงกระสอบทรายปิดทับด้วนแผ่นพลาสติกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2.หากมีเวลาเตรียมตัวและต้องการใช้น้ำประปาและส้วมในบ้านในขณะน้ำท่วมให้ใช้วิธีเปิดฝาบ่อพักน้ำ(ส่วนใหญ่อยู่หน้าบ้านหรือหลังบ้านและอาจมีมากกว่าหนึ่งจุด) จากนั้นให้“ปิดท่อน้ำส่วนที่จะทิ้งจากบ่อพักไปด้านนอกบ้าน” เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำภายนอกไหลเข้า ซึ่งสามารถทำด้วยการปิดทับด้วยแผ่นพลาสติกหรือนำถุงพลาสติกห่อดินเหนียวอุดท่อขาออกไว้แล้วนำกระสอบทรายหรือถุงใส่ดินเหนียววางทับดันเอาไว้ หรือหากมีเวลาใช้ท่อพีวีซีต่อท่อในส่วนนี้ตั้งเป็นแนวดิ่ง 1.5 - 2 เมตร ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของน้ำท่วม ระดับน้ำภายนอกจะสูงเท่าระดับน้ำในท่อพีวีซี แต่จะไม่กลับมาท่วมในบ้าน

ส่วนท่อน้ำในบ้านที่ไหลมายังท่อน้ำทิ้งให้ใช้เครื่องสูบน้ำสูบจากบ่อพักออกไปข้างนอกรั้วกระสอบทราย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าเครื่องสูบน้ำส่วนใหญ่สายปลั๊กไฟจะสั้นและมักจะใช้ปลั๊กต่อ จะต้องมีการคลุมหุ้มพลาสติกกันน้ำและกันไฟช็อตด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่าหากไฟดับเครื่องสูบน้ำประเภทนี้จะใช้งานไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะใช้เครื่องสูบน้ำที่ใช้น้ำมันจึงจะใช้งานได้ตลอดเวลา

ส่วนข้อเสนอให้อุดท่อต่างๆภายในบ้าน เช่น อ่างล้างหน้า โถส้วม ก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่ต้องทำหลายจุด และทำให้คนที่อยู่ในสภาวะน้ำท่วมใช้น้ำและห้องส้วมไม่ได้ จะทำให้ลำบากมากยิ่งขึ้น

3.หากมีน้ำซึมตามพื้นบ้าน ให้สำรวจตาน้ำที่มองเห็นได้แล้ว ยอมเสียสละทำการทุบและเจาะพื้นบริเวณนั้นทำเป็นหลุมลึกลงไป
น้ำจะไหลจากหลายจุดมารวมจุดเดียวแล้วจึงใช้เครื่องสูบน้ำสูบออก อย่างไรก็ตามในภาวะความเสี่ยงน้ำท่วมชั้นหนึ่ง ควรตัดไฟชั้นหนึ่งให้หมดเพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตด้วย

กระสอบทราย + เครื่องสูบน้ำ + กันน้ำเข้าจากท่อน้ำทิ้งภายนอก ต้องทำให้ครบสูตรจึงจะสามารถกันน้ำและใช้น้ำภายในบ้านได้ (หากระดับน้ำไม่สูงเกินไป)

ดังนั้นขอย้ำว่าการซื้อกระสอบทรายมาวางเรียงอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น !!!


ที่จริงตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นคนที่รู้และเตรียมตัวอยู่แล้วก็คงมองเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดา แต่ยังมีประชาชนอีกมากที่ยังไม่รู้โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเตรียมตัวในเรื่องนี้สื่อทีวีให้ความรู้ในเรื่องนี้น้อยเกินไป

มองภาพใหญ่ขึ้นมาที่หลายคนเตือนมานานถึงการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ จากชื่อเดิม “หนองงูเห่า” ในทางวิศวกรรมศาสตร์ได้ใช้วิธีการนำทรายจำนวนมหาศาลหลายชั้นมากดไล่น้ำในดินชั้นล่างที่มีความอ่อนจนทรุดให้ถึงที่สุด เพื่อหวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้แทบไม่ทรุดหรือทรุดน้อยมากในแต่ละปี แล้วจึงมาสร้างลานวิ่งและลานจอดให้กับเครื่องบิน

แม้มนุษย์จะมีความฉลาดในการหาเทคนิคในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิในหนองได้สำเร็จ แต่ความเสี่ยงก็เกิดขึ้นทันใด เพราะหากระดับน้ำสูงจนมาถึงระดับ Asphaltic Concrete ซึ่งอยู่ใต้ผิวคอนกรีตของทางวิ่งและลานจอดสนามบิน จะทำให้ Asphaltic Concrete แตกเปื่อยจนรับน้ำหนักไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมาสนามบินสุวรรณภูมิได้สร้างทำนบสูงกั้นและสร้างคลองรอบสนามบินและใช้การดันน้ำและสูบออกภายนอกเพื่อเอาชนะระดับน้ำในบริเวณหนองน้ำแห่งนี้ให้ได้

ประเทศไทยสร้างสนามบินในหนองน้ำทั้งๆที่มีทางเลือกที่จะไปสร้างหรือขยายสนามบินดอนเมือง ก็เพราะการสร้างสนามบินแบบนี้ต้องใช้งบประมาณแพงมหาศาล ตรวจสอบทรายที่ถมไปแล้วก็ยาก เปิดโอกาสให้นักการเมืองโกงกินกันได้อย่างมโหฬาร

แต่มาถึงวิกฤติครั้งนี้คนไทยได้รับบทเรียนที่แพง เพราะหนองงูเห่าเดิมเป็นพื้นที่หนองและกินบริเวณกว้างสามารถทำเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่เพื่อรับน้ำและพักน้ำก่อนที่จะผันน้ำออกลงอ่าวไทยได้ กลายเป็นพื้นที่บริเวณกว้างที่ห้ามมีน้ำขังและต้องสูบน้ำใส่พื้นที่ชาวบ้านแทน

เช่นเดียวกับโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่มีการวางผังให้ใกล้แม่น้ำในที่ดินราบลุ่มซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูก
แต่เพราะที่ดินมีราคาถูกและต้องการปล่อยของเสียลงแม่น้ำตลอดจนทำให้การขนส่งใกล้ท่าเรือกรุงเทพเพื่อลดค่าใช้จ่าย (เพราะส่วยทางหลวงหากอยู่ไกลมากก็จ่ายหนัก)เราเน้นแต่การสร้างถนน แต่ในอีกทางหนึ่งได้ทำให้เรามีแก้มลิงที่รับน้ำน้อยลงไปด้วย

ไม่ต้องพูดถึงการตัดต้นไม้ทำลายป่าจำนวนมากเพื่อสร้างถนนเพื่อให้ผู้รับเหมามาฮั้วและนักการเมืองได้กินหัวคิว นักการเมืองจำนวนมากเป็นผู้ทรงอิทธิพลบุกป่าตัดไม้ สร้างรีสอร์ท อยู่ทั่วประเทศไทย จนภาพที่เห็นโคลนดินถล่มมาพร้อมกับน้ำท่วมเป็นประจำ

โลกที่ร้อนจนน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น ฝนฟ้าแปรปรวนปั่นป่วนมากขึ้นทุกปี ท่ามกลางความโลภของเหล่านักการเมืองและผู้มีอำนาจ ธรรมชาติจึงให้บทเรียนกับเราในครั้งนี้ด้วยราคาแสนแพง เพราะมีผู้คนต้องเสียชีวิต และสิ้นเนื้อประดาตัวไปเป็นจำนวนมาก

ถึงเวลาที่มหาชนจะลุกขึ้นมาปฏิรูปประเทศไทยแล้วหรือยัง?
กำลังโหลดความคิดเห็น