ออมสินเตรียมถกคลังหาข้อสรุปเงินนำส่ง 0.47% หวั่นกระทบผลการดำเนินงาน เล็งหักเงินฝากรูปแบบสลากออมสิน และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตออกก่อนคำนวณ ระบุ ส่งผลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดหลังต้องผลักภาระไปยังเงินฝาก และเงินกู้หวั่นกระทบภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค
นายธัชพล กาญจนกูล รองผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผยในฐานะรักษาการ ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อขอความชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติการเรียกเก็บเงินนำส่ง 0.47% ที่จะมีผลปฏิบัติในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ว่า จะต้องเป็นการคำนวณจากฐานเงินฝากที่ หักสลากออมสิน และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตออกไป เพราะไม่ใช่เงินฝากตามนิยามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด นอกจากนี้ ส่วนที่เรียกเก็บ 0.47% ก็ควรที่บวกกลับไปในกำไรสุทธิประจำปี 2555 ของธนาคารด้วย เนื่องจากในการประมาณการกำไรของธนาคารยังไม่รวมต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากเงินนำส่งดังกล่าว ซึ่งจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง
ทั้งนี้ หากธนาคารต้องนำส่งเงิน 0.47% จะมีผลกระทบต่อระบบตลาดเงินด้วย เนื่องจากปัจจุบัน ธนาคารปล่อยกู้ในตลาดเงิน และลงทุนในตลาดตราสารหนี้รวมกับประมาณ 7-8% หากธนาคารมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีก 0.47% จากเงินนำส่งดังกล่าว ก็จะทำให้ธนาคารต้องบวกต้นทุนเพิ่มเข้าไปในเงินลงทุนดังกล่าวด้วย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กรณีที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกมาบอกว่า มีความผิดปกติของดอกเบี้ยในตลาดเงินช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลกระทบของการนำส่งเงิน 0.47% ดังกล่าวที่แต่ละคนต่างก็มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลักภาระเข้าไปในตลาดเงิน ส่งผลให้ดอกเบี้ยกู้ระยะสั้นกระโดดขึ้น โดยเฉพาะธนาคารรัฐอย่างออมสิน หรือกรุงไทย เพราะอัตรานำส่งเพิ่มทีเดียว 0.47% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปเพิ่มขึ้นเพียง 0.07% เท่านั้น” นายธัชพลกล่าว
นายธัชพลกล่าวว่า ภาระที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวถือว่าไม่ยุติธรรมกับธนาคารรัฐ เพราะธนาคารรัฐมีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ทั้งการพักหนี้รายย่อย การช่วยเหลือช่วงน้ำท่วมแล้ว ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารพาณิชย์ต่างชะลอการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด ยังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธนาคารรัฐที่ต้องเข้ามาประคับประคองเศรษฐกิจ จึงเกิดการระดมเงินฝากเข้ามาจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการสินชื่อ แต่กลับถูกมองว่า เป็นการไปแข่งขันเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และต้องมาถูกเรียกเก็บเงินสมทบถึง 0.47%
นายธัชพล กาญจนกูล รองผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผยในฐานะรักษาการ ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อขอความชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติการเรียกเก็บเงินนำส่ง 0.47% ที่จะมีผลปฏิบัติในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ว่า จะต้องเป็นการคำนวณจากฐานเงินฝากที่ หักสลากออมสิน และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตออกไป เพราะไม่ใช่เงินฝากตามนิยามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด นอกจากนี้ ส่วนที่เรียกเก็บ 0.47% ก็ควรที่บวกกลับไปในกำไรสุทธิประจำปี 2555 ของธนาคารด้วย เนื่องจากในการประมาณการกำไรของธนาคารยังไม่รวมต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากเงินนำส่งดังกล่าว ซึ่งจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง
ทั้งนี้ หากธนาคารต้องนำส่งเงิน 0.47% จะมีผลกระทบต่อระบบตลาดเงินด้วย เนื่องจากปัจจุบัน ธนาคารปล่อยกู้ในตลาดเงิน และลงทุนในตลาดตราสารหนี้รวมกับประมาณ 7-8% หากธนาคารมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีก 0.47% จากเงินนำส่งดังกล่าว ก็จะทำให้ธนาคารต้องบวกต้นทุนเพิ่มเข้าไปในเงินลงทุนดังกล่าวด้วย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กรณีที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกมาบอกว่า มีความผิดปกติของดอกเบี้ยในตลาดเงินช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลกระทบของการนำส่งเงิน 0.47% ดังกล่าวที่แต่ละคนต่างก็มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลักภาระเข้าไปในตลาดเงิน ส่งผลให้ดอกเบี้ยกู้ระยะสั้นกระโดดขึ้น โดยเฉพาะธนาคารรัฐอย่างออมสิน หรือกรุงไทย เพราะอัตรานำส่งเพิ่มทีเดียว 0.47% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปเพิ่มขึ้นเพียง 0.07% เท่านั้น” นายธัชพลกล่าว
นายธัชพลกล่าวว่า ภาระที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวถือว่าไม่ยุติธรรมกับธนาคารรัฐ เพราะธนาคารรัฐมีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ทั้งการพักหนี้รายย่อย การช่วยเหลือช่วงน้ำท่วมแล้ว ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารพาณิชย์ต่างชะลอการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด ยังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธนาคารรัฐที่ต้องเข้ามาประคับประคองเศรษฐกิจ จึงเกิดการระดมเงินฝากเข้ามาจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการสินชื่อ แต่กลับถูกมองว่า เป็นการไปแข่งขันเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และต้องมาถูกเรียกเก็บเงินสมทบถึง 0.47%
