ส.ต้านโลกร้อน จี้ “รบ.ปู” ต้องแสดงความกล้าหาญสั่งย้ายโรงกลั่น “บางจาก” ออกนอกเมือง เพราะเปรียบเสมือนคลังแสงทางสรรพาวุธขนาดมหึมาใจกลางเมืองหลวง กลางพื้นที่ชุมชนที่มี ปชช. อาศัยอยู่หนาแน่นโดยรอบนับล้านคน ชี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซาก สร้างความตื่นตระหนก การจราจรติดหนึบทั่วกรุง ชาวบ้านต้องนอนขวัญผวามานานเกือบ 50 ปี หากเกิดระบิด-ก่อวินาศกรรม ถือเป็นความล้มเหลวของภาครัฐที่ไม่กล้าแตะปัญหา ขู่ฟ้องศาลหากเพิกเฉย
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์กรณีการเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในคลังน้ำมันบางจาก ซอยสุขุมวิท 64 ถนนเลียบทางรถไฟสายเก่า ย่านคลองเตย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา จนเกิดความวุ่นวายโกลาหลในหมู่ชาวบ้านบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงดังกล่าว ที่พยายามอพยพหนีภัยออกนอกพื้นที่อย่างหวาดผวา และก่อให้เกิดปัญหาการจราจรต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างมากมาย สร้างความเดือดร้อน และเสียหายให้เกิดขึ้นว่า เหตุการณ์ดังกล่าว มิใช่เป็นเหตุครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นแห่งนี้ หากแต่ทว่า เป็นเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งเป็นที่หวาดผวาของชาวชุมชนโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่โรงกลั่น หรือกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลก็มิได้แสดงความรับผิดชอบ หรือบริหารจัดการ หรือเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยใดๆ ในแต่ละกรณีที่ผ่านมาเลย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด ล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความผิดพลาดล้มเหลวในการอนุญาตให้มีโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวตั้งขึ้นมาได้ในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อราวปี พ.ศ.2500
โรงกลั่นน้ำมันเปรียบเสมือนคลังแสงทางสรรพาวุธมหึมา ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง กลางพื้นที่ชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นโดยรอบนับล้านคน เป็นการสร้างความเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยให้แก่คนเมืองโดยไม่จำเป็น ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโรงกลั่นดังกล่าว นอกจากจะมีวัตถุดิบน้ำมันดิบที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการกลั่นให้ได้น้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันอื่นๆ ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟในปริมาณกว่า 120,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว ยังมีวัตถุไวไฟพลอยได้อื่นๆ อีกมากมาย เช่น น้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา และยางมะตอย ที่พร้อมจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดี หากเกิดการระเบิด หรือการวินาศกรรม
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องหยิบยกกรณีที่เกิดการระเบิด หรือไฟไหม้บ่อยครั้งในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากมาพิจารณา ทบทวน และออกมาตรการไล่รื้อให้โรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวให้ย้ายฐานการกลั่นออกไปอยู่ในพื้นที่นอกเมือง หรือไปอยู่พื้นที่เหมาะสมที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนได้แล้ว
ทั้งนี้ จะไม่กระทบต่ออุปทานของการกลั่นน้ำมัน และราคา เนื่องจากประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่า 7 โรงกลั่นอยู่แล้ว มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,100,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งใช้ในประเทศเพียง 787,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งแต่ละปีต้องส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศปีละกว่า 221,000 บาร์เรลเทียบเท่านำมันดิบต่อวัน
หากกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลเพิกเฉย หรือไม่มีแผน หรือมาตรการไล่รื้อ หรือโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวออกมา สมาคมฯ จะได้ร่วมมือกับชาวกรุงเทพมหานครทั้งหมด ที่ได้รับความเดือดร้อน และเสียหาย หรือหวาดผวากับเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวระเบิด จะได้นำกรณีดังกล่าวไปพึ่งอำนาจศาลเพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาต และไล่รื้อโรงกลั่นดังกล่าวออกไปจากพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อไป เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของคนกรุงเทพฯ โดยรวมต่อไป