สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลย้ายโรงกลั่นบางจาก ออกนอกกรุงเทพฯ ชี้ เปรียบเสมือนคลังอาวุธมหึมาใจกลางเมืองหลวง เคยเกิดระเบิดและไฟไหม้บ่อยครั้ง แต่ยังไร้มาตรการความปลอดภัย ลั่นหากกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลยังเฉย จะพึ่งอำนาจศาลให้เพิกถอนใบอนุญาตและรื้อโรงกลั่นออกไป
วันนี้ (4 ก.ค.) หลังจากเกิดเหตุระเบิด ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ซ.สุขุมวิท 64 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ มีเปลวไฟลุกท่วมสูงเป็นเวลานาน สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคม ได้ออกแถลงการณ์เพื่อแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเรื่อง “ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องไล่รื้อโรงกลั่นน้ำมันบางจากให้ออกไปจากพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แล้ว”
เนื้อหาแถลงการณ์ ระบุว่า กรณีการเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในคลังน้ำมันบางจาก ซอยสุขุมวิท 64 ถนนเลียบทางรถไฟสายเก่า ย่านคลองเตย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา จนเกิดความวุ่นวายโกลาหลในหมู่ชาวบ้านบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงดังกล่าว ที่พยายามอพยพหนีภัยออกนอกพื้นที่อย่างหวาดผวา และก่อให้เกิดปัญหาการจราจรต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างมากมาย สร้างความเดือดร้อนและเสียหายให้เกิดขึ้นกับชาวเมืองโดยชัดแจ้งนั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่เป็นเหตุครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นแห่งนี้ หากแต่ทว่าเป็นเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งเป็นที่หวาดผวาของชาวชุมชนโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงกลั่น หรือกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลก็มิได้แสดงความรับผิดชอบ หรือบริหารจัดการ หรือเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยใดๆ ในแต่ละกรณีที่ผ่านมาเลย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด ล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความผิดพลาดล้มเหลวในการอนุญาตให้มีโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวตั้งขึ้นมาได้ในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อราวปี พ.ศ.2500
โรงกลั่นน้ำมันเปรียบเสมือนคลังแสงทางสรรพวุธมหึมาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง กลางพื้นที่ชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นโดยรอบนับล้านคน เป็นการสร้างความเสี่ยง และความไม่ปลอดภัยให้กับคนเมือง โดยไม่จำเป็นตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโรงกลั่นดังกล่าวนอกจากจะมีวัตถุดิบน้ำมันดิบที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการกลั่นให้ได้น้ำมันเบนซิน และดีเซล และน้ำมันอื่นๆ ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟในปริมาณกว่า 120,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว ยังมีวัตถุไวไฟพลอยได้อื่นอีกมากมาย เช่น น้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา และยางมะตอย ที่พร้อมจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดี หากเกิดการระเบิด หรือการวินาศกรรม
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องหยิบยกกรณีที่เกิดการระเบิด หรือไฟไหม้บ่อยครั้งในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากมาพิจารณา ทบทวน และออกมาตรการไล่รื้อให้โรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวให้ย้ายฐานการกลั่นออกไปอยู่ในพื้นที่นอกเมืองหรือพื้นที่ที่เหมาะสมที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนได้แล้ว ทั้งนี้ จะไม่กระทบต่ออุปทานของการกลั่นน้ำมันและราคาเนื่องจากประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่า 7 โรงกลั่นอยู่แล้ว มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,100,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งใช้ในประเทศเพียง 787,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งแต่ละปีต้องส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศปีละกว่า 221,000 บาร์เรลเทียบเท่านำมันดิบต่อวัน
ทั้งนี้ หากกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลเพิกเฉย หรือไม่มีแผนหรือมาตรการไล่รื้อหรือโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวออกมา สมาคมจะได้ร่วมมือกับชาวกรุงเทพมหานครทั้งหมดที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายหรือหวาดผวากับเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวระเบิด จะได้นำกรณีดังกล่าวไปพึ่งอำนาจศาลเพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาตและไล่รื้อโรงกลั่นดังกล่าวออกไปจากพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อไป เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนกรุงเทพฯโดยรวมต่อไป คนกรุงเทพฯ ไม่ควรจะทนอยู่ในสภาพความเสี่ยง และความหวาดผวากับคลังแสงทางน้ำมันที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้อีกต่อไป...