“ศรีสุวรรณ จรรยา” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กระทุ้งรัฐบาล-บางจาก ถึงเวลาต้องย้ายโรงกลั่นน้ำมันซึ่งเปรียบเสมือนคลังแสงสรรพาวุธออกจากใจกลางเมืองหลวง เพื่อลดความเสี่ยงของชุมชนได้แล้ว หลังเกิดอุบัติภัยมาแล้วหลายครั้ง เตือนระวังสารก่อมะเร็ง ภัยคุกคามที่ถูกปกปิด
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนได้เขียนบทความ ถึงเวลาย้ายโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เพื่อลดความเสี่ยงของชุมชน ว่า กรณีการเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในคลังน้ำมันบางจาก ซอยสุขุมวิท 64 ถนนเลียบทางรถไฟสายเก่าย่านคลองเตย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา จนเกิดความวุ่นวายโกลาหลในหมู่ชาวบ้านบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงดังกล่าว ที่พยายามอพยพหนีภัยออกนอกพื้นที่อย่างหวาดผวาและก่อให้เกิดปัญหาการจราจรต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างมากมายทั้งระบบ สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ชาวเมืองไปทั้งเมืองโดยมิอาจปฏิเสธได้
เหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่เป็นเหตุครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นแห่งนี้ หากแต่ทว่าเป็นเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งเป็นที่หวาดผวาของชาวชุมชนโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ก็เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2554 เวลาประมาณ 07.00 น. เช่นกัน เกิดระเบิดและไฟไหม้ขึ้นที่โรงกลั่นแห่งนี้เช่นเดียวกัน เหตุเพราะระบบผลิตไฮโดรแครกเกอร์ติดไฟ ทำให้ต้องหยุดฉุกเฉินหน่วยกลั่นไฮโดรแครกเกอร์ที่ปรับเปลี่ยนน้ำมันเตามาเป็นดีเซล ระบบป้องกันอุบัติเหตุอัตโนมัติทำงานความดันลดลงอย่างรวดเร็ว ไฮโดรคาร์บอนที่เหลือจึงถูกเผาไหม้ในปล่องแฟร์ และทำให้เกิดประกายไฟมลพิษพวยพุ่งออกมาเต็มท้องฟ้า
เหตุการณ์เมื่อเช้าวันที่ 4 กรกฎาคมก็ไม่มีความแตกต่างกันกับเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ เกิดไฟไหม้และระเบิดเสียงสนั่นหวั่นไหวขึ้นบริเวณหอกลั่นที่ 3 ของโรงกลั่นทำให้ผู้คนแตกตื่นหนีภัยกันจ้าละหวั่น พร้อมกับมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาเต็มท้องฟ้าซึ่งสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลกว่า 50 กิโลเมตร แต่ผู้บริหารโรงกลั่นกลับออกมาโบ้ยข่าวว่าสามารถควบคุมปัญหาได้ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ชาวบ้าน และสิ่งแวดล้อม
โรงกลั่นแห่งนี้เคยเกิดปัญหาในทำนองเดียวกันนี้ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวมาแล้ว 4 ถึง 5 ครั้ง จากข้อมูลของชุมชนที่บอกเล่าร้องเรียนมายังสมาคมฯ โดยเฉพาะการแพร่กระจายของไอระเหยน้ำมัน หรือสารอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ VOCs จำพวกสารเบนซีน สไตรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอันตราย แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดเงียบไม่ยอมชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบให้ตระหนักและมีมาตรการป้องกันให้เกิดขึ้นชัดเจนกับชาวบ้านกลุ่มเสี่ยงต่างๆ โดยรอบโรงกลั่นเลย
ขณะที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐบาลก็มิได้แสดงความรับผิดชอบ หรือบริหารจัดการ หรือเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยใดๆ ในแต่ละกรณีที่ผ่านมาเลย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด ล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความผิดพลาดล้มเหลวในการอนุญาตให้มีโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวตั้งขึ้นมาได้ในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อราวปี พ.ศ. 2500
โรงกลั่นน้ำมันเปรียบเสมือนคลังแสงทางสรรพวุธอันมหึมาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง กลางพื้นที่ชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นโดยรอบนับล้านคน เป็นการสร้างความเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยให้แก่คนเมืองโดยไม่จำเป็นตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา
โรงกลั่นดังกล่าวนอกจากจะมีวัตถุดิบน้ำมันดิบที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการกลั่นให้ได้น้ำมันเบนซินและดีเซล และน้ำมันอื่นๆ ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟในปริมาณกว่า 120,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว ยังมีวัตถุไวไฟพลอยได้อื่นอีกมากมาย เช่น น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันก๊าด ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา และยางมะตอย ที่พร้อมจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดีหากเกิดการระเบิดหรือการวินาศกรรม
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องหยิบยกกรณีที่เกิดการระเบิดหรือไฟไหม้บ่อยครั้งในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากมาพิจารณา ทบทวน และออกมาตรการไล่รื้อให้โรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวย้ายฐานการกลั่นออกไปอยู่ในพื้นที่นอกเมืองหรือพื้นที่ที่เหมาะสมที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนได้แล้ว
หรือจำเป็นที่จะต้องวางระบบที่ชัดเจนในการโยกย้าย หรือ Roadmap ในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาสะสม สร้างความเสี่ยงในพื้นที่ดังกล่าวต่อไปโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ จะไม่กระทบต่ออุปทานของการกลั่นน้ำมันและราคา เนื่องจากประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่า 7 โรงกลั่นอยู่แล้ว มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,100,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งใช้ในประเทศเพียง 787,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งแต่ละปีต้องส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศปีละกว่า 221,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
หากรัฐบาลมีแผนหรือมาตรการโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวที่ชัดเจน ก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่ชุมชนโดยรอบและชุมชนเมืองได้อย่างมหาศาล
ส่วนผู้ประกอบการโรงกลั่นรัฐบาลก็สามารถที่จะช่วยเหลือด้านเงินทุน โดยใช้นโยบายยกเว้นภาษีให้ในระยะยาว สำหรับพื้นที่ดินกว่า 485 ไร่ซึ่งเป็นของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง รัฐบาลก็สามารถนำพื้นที่ดังกล่าวมาพัฒนาเป็น “สวนสาธารณะ” หรือสร้างปอดให้คนกรุงเทพฯได้อย่างมหึมาเลยทีเดียว
สอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาไว้ว่า “จะสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน และจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกสาขาการผลิตเข้าประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีความพร้อมทั้งระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ความเพียงพอของแหล่งพลังงาน การจัดการของเสีย การจัดการมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงการจัดและวางระบบการผลิตที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว”
รัฐบาลต้องรู้จักใช้วิกฤตเป็นโอกาส ในการออกนโยบายหรือกำหนดแผนงานที่ชัดเจนในการสั่งให้มีแผนหรือมาตรการในการโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวออกไปจากพื้นที่เมือง เพราะหากไม่ใช้โอกาสในครั้งนี้ ในภายภาคหน้าโอกาสแบบนี้ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากราคาและค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายก็จะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ
อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าวมีชุมชนมาอยู่อาศัยเต็มพื้นที่หมดแล้ว และเริ่มกลายเป็นชุมชนแนวตั้ง เป็นคอนโดมิเนียม เป็นอพาร์ตเมนต์มากขึ้นโดยรอบแล้ว หากเกิดวิกฤตการณ์ระเบิด ไฟไหม้ หรือการก่อวินาศกรรมขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อถึงวันนั้นโอกาสก็จะไม่มีอีกแล้ว จะมีก็แต่เพียงความสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ และรัฐบาลจะไปชี้นิ้วโทษใครก็คงไม่ได้ นอกจากต้องโทษตัวเอง ที่ไม่กล้าตัดสินใจโยกย้ายในวันนี้
เรื่องนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนได้มีหนังสือไปยังท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วว่า รัฐบาลต้องมีแผนหรือมาตรการออกมาที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่การแก้ผ้าเอาหน้ารอดลวงประชาชนเพียงแค่สั่งปิดโรงกลั่นเพียง 30 วันเท่านั้น เพราะไม่สั่งปิดหอกลั่นดังกล่าวก็ทำงานไม่ได้อยู่แล้วอย่างน้อยก็ 3 เดือนขึ้นไป
ทั้งนี้ หากกระทรวงพลังงานและรัฐบาลเพิกเฉย หรือไม่มีแผนหรือมาตรการไล่รื้อหรือโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวออกมา สมาคมฯ อาจจะต้องร่วมมือกับชาวกรุงเทพมหานครทั้งหมดที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายหรือหวาดผวากับเหตุการณ์ไฟไหม้หรือโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวระเบิด จะได้นำกรณีดังกล่าวไปพึ่งอำนาจศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาตและไล่รื้อโรงกลั่นดังกล่าวออกไปจากพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อไป เพื่อที่จะได้เกิดมาตรฐานในการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนกรุงเทพฯ โดยรวมต่อไป คนกรุงเทพฯ ไม่ควรจะทนอยู่ในสภาพความเสี่ยง และความหวาดผวากับคลังแสงทางน้ำมันที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้อีกต่อไป
/////////////////////
หมายเหตุ : ภาพประกอบเรื่อง ภาพที่1, 3, 4 จากรอยเตอร์