xs
xsm
sm
md
lg

KBS สตาร์ทลุยโรงไฟฟ้าขนาด 35 MW

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“น้ำตาลครบุรี” เพิ่มทุนให้บริษัทย่อย “บริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด” อีก 300 ล้านบาท ลุยขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ผลิตไฟฟ้าจากกากอ้อย จากกำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์สู่ 35 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 1,638 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ ม.ค. 57 พร้อมขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ผู้บริหารคาดดันกำไรเพิ่มขึ้น 25-30% ควบคู่กับต้นทุนที่จะลดลงในอนาคต

นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เพิ่มทุน 300 ล้านบาทในบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด หรือ (KPP) ซึ่งจากเดิมที่มีทุนอยู่แล้ว 200 ล้านบาท โดย KPP ถือเป็นบริษัทย่อยที่ KBS ถือหุ้นอยู่ 99.99% เพื่อรองรับการขยายโครงการสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล จากขนาดกำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ เป็น 35 เมกะวัตต์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,638 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก KBS 300 ล้านบาท และที่เหลือเป็นการกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมขายไฟให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประมาณเดือนมกราคม 57

ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลดังกล่าวเป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์จากกากอ้อยที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลให้ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะทำให้ KBS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 7-10% และจะผลักดันให้กำไรสุทธิของ KBS เพิ่มมากขึ้น 25-30% โดยจะเริ่มเห็นภาพของรายได้และกำไรสุทธิขยายตัวตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป

“รายได้ที่เกิดจากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนักหากเปรียบเทียบกับฐานรายได้ของ KBS ในปัจจุบันซึ่งมาจากการขายน้ำตาลเป็นหลัก แต่ที่จะเห็นภาพชัดคือในส่วนของกำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยคาดว่าจะผลักดันให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 25-30% อย่างไรก็ตาม KBS ไม่ได้คาดหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากไฟฟ้าให้มากกว่านี้ เพราะวัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าวคือต้องการใช้ประโยชน์จากกากอ้อยที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยธุรกิจหลักของ KBS ก็ยังคงมาจากการขายน้ำตาล”

นายอิสสระยังได้กล่าวถึงแนวโน้มรายได้ของ KBS ในปี 55 นี้ คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ประมาณ 6,150 ล้านบาท จากปริมาณการหีบอ้อยที่ 2.5 ล้านตัน ส่วนปี 56 ตั้งเป้าอ้อยเข้าหีบประมาณ 2.8 ล้านตัน หลังปริมาณพื้นที่ปลูกอ้อยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้วกว่า 53% ทำให้คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ประมาณ 10% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับแผนหันมาผลิตน้ำตาลทรายขาวซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าน้ำตาลทรายดิบมากขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของบริษัทในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น