xs
xsm
sm
md
lg

“วายแอลจี” มาร์เกตแชร์พุ่ง ขึ้นอันดับ 1 โกลด์ฟิวเจอร์ส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการายวัน - “วายแอลจี” พุ่งขึ้นเบอร์หนึ่งมาร์เกตแชร์โบรกเกอร์ทองคำ ช่วงพฤษภาคม โดยเติบโต 222% ผู้บริหารปลื้ม ชี้ช่วยตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรดรูปแบบใหม่ที่นำเสนอให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ประเมินแนวโน้มทองคำในระยะสั้นนั้นอาจต้องใช้กลยุทธ์เก็งกำไรฝั่งซื้อเป็นหลัก โดยขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป โดยไม่แนะนำให้ถือทองคำไว้นาน

น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์สของบริษัทฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดถึง 222% โดยมีปริมาณการซื้อขายจำนวน 95,490 สัญญา เทียบกับเดือนเมษายนที่มีอยู่จำนวน 43,942 สัญญา ขณะเดียวกัน ยังมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สถึง 38.6% ส่งผลทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12.7% และยังเป็นบริษัทที่มียอดการเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สสูงสุดขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโบรกเกอร์ทองอีกด้วย

“ผลดำเนินงานดังกล่าว ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรดรูปแบบใหม่ที่วายแอลจีนำเสนอให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเทรดแบบระยะสั้น โดยเป็นการทำกำไรระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงของลูกค้า เนื่องจากในเดือนพฤษภาคมราคาทองมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งเข้ากับเทคนิคการเทรดของวายแอลจี ส่งผลให้เรามีจำนวนสัญญาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับบริษัทมีการให้ข่าวสารที่แม่นยำ และรวดเร็วโดยทีมงานนักวิเคราะห์ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น” น.ส.ฐิภากล่าว

นอกจากนี้ น.ส.ฐิภา ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ แม้จะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น แต่ยังขาดแนวโน้มที่ชัดเจน เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปก็จะถูกขายทำกำไรออกมา ในขณะที่เมื่อราคาอ่อนตัวลงไป จะเกิดแรงซื้อกลับเข้ามา โดยราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบเพื่อรอผลการเลือกตั้งของกรีซ ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ รวมถึงรอผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มิถุนายนนี้ ตามเวลาในประเทศไทย โดยประเด็นสำคัญที่ตลาดให้ความสนใจคือ การครบกำหนดของมาตรการ Operation Twist ในสิ้นเดือนนี้ ทำให้คาดหมายกันว่า จะมีประเด็นเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในวาระการประชุมดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะชี้นำราคาทองคำได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของยุโรป (ECOFIN) จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 21 มิถุนายน ตามเวลาในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้ การลงทุนในระยะสั้นนั้นอาจต้องใช้กลยุทธ์เก็งกำไรฝั่งซื้อเป็นหลัก โดยขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป โดยไม่แนะนำให้ถือทองคำไว้นาน โดยกรอบการลงทุนจะอยู่ในช่วง 1,560-1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,270-24,170 บาทต่อบาททองคำ และจำเป็นต้องตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดกรอบล่างดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากราคาผ่าน 1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไป ราคาทองคำจะเผชิญแนวต้านสำคัญในโซน 1,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 24,470 บาทต่อบาททองคำ
กำลังโหลดความคิดเห็น