บล.เอเชียพลัส คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังดีหลังยุโรปคลี่คลาย เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง ดันวอลุ่มโต ยันคงเป้ากำไรสุทธิปีนี้โต 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 505 ล้านบาท “ก้องเกียรติ” แจง พอร์ตลงทุนระยะสั้นช่วงที่ผ่านมาขายทำกำไร หันซื้อหุ้นต่างประเทศแทนเพื่อกระจายความเสี่ยง ชี้ต่างชาติยังสนใจหุ้นไทย จากยอดขายที่ผ่านมาเล็กน้อย จากมียอดซื้อสุทธิ 1 แสนล้านบาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการปรับตัวดีขึ้น จากการที่รัฐบาลมีเสถียรภาพสามารถเดินหน้านโยบายต่างๆ ได้ เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ธุรกิจปรับตัวดีขึ้น เช่น ธุรกิจอาหาร ชิ้นส่วนรถยนต์ ธนาคาร สื่อสาร โดยหากปัจจัยดังกล่าวมีการปรับตัวดีขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น นักลงทุนก็จะมีการเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ก็จะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และจากการลดอัตราภาษีนิติบุคคล ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ากำไรสุทธิปีนี้ที่คาดว่าจะโต 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 505 ล้านบาท แม้ไตรมาส 1/55 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลง จากมูลค่าการซื้อขายตลาดรวมในไตรมาส 1/55 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบมูลค่าซื้อขายตลาดรวมไตรมาส 1/54 แต่ บล.ASP ถือว่ามีกำไรสูงสุดในกลุ่มหลักทรัพย์ แต่ในไตรมาส 2/55 ผลประกอบการยังไม่ดีจากภาวะปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนมีการซื้อขายหุ้นลดลง แต่ช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ยุโรปปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีการเลือกตั้งของกรีซ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการฟื้นตัว ก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย
“ตอนนี้บริษัทยังคงเป้ากำไรสุทธิของบริษัทจะโต 25% จากปีก่อน แม้ไตรมาส 1/55 บริษัทจะมีกำไรลดลงแต่เป็นไปตามภาวะตลาด โดยเรายังไม่ปรับประมาณการ แต่จากมองว่าภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น จากปัญหายุโรปคลี่คลาย ซึ่งปกติเวลาบริษัทจะมีการปรับประมาณการนั้นจะทำหลังจากผ่านไตรมาส 2/55 แล้ว ยอดปล่อยมาร์จิ้นของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนเทรดบอนด์ผ่านบริษัท 4 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าที่เทรดบอนด์นั้นเป็นลูกค้าไพรเวตเวิล์ธของบริษัท” นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศนั้นก็ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ ซึ่งเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาแรง ซึ่งเป็นแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ แต่นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไม่มากประมาณ 2-3 พันล้านบาท หรือบางวันขายเป็นหลัก 100 ล้านเท่านั้น โดยตั้งเดือนตุลาคม 54 ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ 1 แสนล้านบาท และถึงแม้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุน แต่ราคาหุ้นก็ไม่ถูกแล้ว แต่ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อจากที่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร จากยุโรปยังมีปัญหาไม่น่าไว้ใจลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่หากยุโรปฟื้นตัวเชื่อว่าจะทำให้ความน่าสนใจลงทุนกลับไปทางฝั่งยุโรป
อย่างไรก็ตาม จากราคาหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้วนั้น ซึ่งการลงทุนนั้นนักลงทุนอย่ามองที่ดัชนีตลาดหุ้น แต่ควรลงทุนโดยการเลือกหุ้นที่ดี โดยกลุ่มที่ยังสามารถลงทุนได้ ราคายังไม่แพง เช่น หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ส่วนธนาคารพาณิชย์น่าสนใจแต่ราคาไม่ถูกแล้ว จากราคาตามมูลค่าบัญชี (P/B) 2 เท่าแล้ว ส่วนกลุ่มสื่อสารมีการปรับตัวขึ้นจากข่าวการประมูลใบอนุญาต แต่ที่ผ่านมา ราคาหุ้นสื่อสารปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนของบริษัทระยะสั้นนั้นได้มีการขายหุ้นไทยออกมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดี แต่พอร์ตการลงทุนระยะยาวนั้นยังคงถือหุ้นไทยอยู่ โดยบริษัทหันไปซื้อหุ้นต่างประเทศเพื่อกระจายการลงทุน จากมองว่าหุ้นต่างประเทศนั้นมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี จากมองว่าวิกฤตอยู่ที่ไหนเป็นโอกาสการที่จะเข้าไปลงทุน แต่การเข้าไปลงทุนนั้นจะต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมไม่ให้เร็วเกินไป โดยที่ผ่านมา ลูกค้าของบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น แต่บัญชีที่เปิดเทรดหุ้นต่างประเทศเป็นหลักร้อยบัญชี แต่กองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศนั้นให้ผลอตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้าซึ่งได้คืนเงินต้นแล้ว 2 รอบ ๆ ละ 5%
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการปรับตัวดีขึ้น จากการที่รัฐบาลมีเสถียรภาพสามารถเดินหน้านโยบายต่างๆ ได้ เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ธุรกิจปรับตัวดีขึ้น เช่น ธุรกิจอาหาร ชิ้นส่วนรถยนต์ ธนาคาร สื่อสาร โดยหากปัจจัยดังกล่าวมีการปรับตัวดีขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น นักลงทุนก็จะมีการเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ก็จะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และจากการลดอัตราภาษีนิติบุคคล ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ากำไรสุทธิปีนี้ที่คาดว่าจะโต 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 505 ล้านบาท แม้ไตรมาส 1/55 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลง จากมูลค่าการซื้อขายตลาดรวมในไตรมาส 1/55 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบมูลค่าซื้อขายตลาดรวมไตรมาส 1/54 แต่ บล.ASP ถือว่ามีกำไรสูงสุดในกลุ่มหลักทรัพย์ แต่ในไตรมาส 2/55 ผลประกอบการยังไม่ดีจากภาวะปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนมีการซื้อขายหุ้นลดลง แต่ช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ยุโรปปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีการเลือกตั้งของกรีซ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการฟื้นตัว ก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย
“ตอนนี้บริษัทยังคงเป้ากำไรสุทธิของบริษัทจะโต 25% จากปีก่อน แม้ไตรมาส 1/55 บริษัทจะมีกำไรลดลงแต่เป็นไปตามภาวะตลาด โดยเรายังไม่ปรับประมาณการ แต่จากมองว่าภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น จากปัญหายุโรปคลี่คลาย ซึ่งปกติเวลาบริษัทจะมีการปรับประมาณการนั้นจะทำหลังจากผ่านไตรมาส 2/55 แล้ว ยอดปล่อยมาร์จิ้นของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนเทรดบอนด์ผ่านบริษัท 4 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าที่เทรดบอนด์นั้นเป็นลูกค้าไพรเวตเวิล์ธของบริษัท” นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศนั้นก็ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ ซึ่งเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาแรง ซึ่งเป็นแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ แต่นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไม่มากประมาณ 2-3 พันล้านบาท หรือบางวันขายเป็นหลัก 100 ล้านเท่านั้น โดยตั้งเดือนตุลาคม 54 ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ 1 แสนล้านบาท และถึงแม้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุน แต่ราคาหุ้นก็ไม่ถูกแล้ว แต่ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อจากที่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร จากยุโรปยังมีปัญหาไม่น่าไว้ใจลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่หากยุโรปฟื้นตัวเชื่อว่าจะทำให้ความน่าสนใจลงทุนกลับไปทางฝั่งยุโรป
อย่างไรก็ตาม จากราคาหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้วนั้น ซึ่งการลงทุนนั้นนักลงทุนอย่ามองที่ดัชนีตลาดหุ้น แต่ควรลงทุนโดยการเลือกหุ้นที่ดี โดยกลุ่มที่ยังสามารถลงทุนได้ ราคายังไม่แพง เช่น หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ส่วนธนาคารพาณิชย์น่าสนใจแต่ราคาไม่ถูกแล้ว จากราคาตามมูลค่าบัญชี (P/B) 2 เท่าแล้ว ส่วนกลุ่มสื่อสารมีการปรับตัวขึ้นจากข่าวการประมูลใบอนุญาต แต่ที่ผ่านมา ราคาหุ้นสื่อสารปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนของบริษัทระยะสั้นนั้นได้มีการขายหุ้นไทยออกมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดี แต่พอร์ตการลงทุนระยะยาวนั้นยังคงถือหุ้นไทยอยู่ โดยบริษัทหันไปซื้อหุ้นต่างประเทศเพื่อกระจายการลงทุน จากมองว่าหุ้นต่างประเทศนั้นมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี จากมองว่าวิกฤตอยู่ที่ไหนเป็นโอกาสการที่จะเข้าไปลงทุน แต่การเข้าไปลงทุนนั้นจะต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมไม่ให้เร็วเกินไป โดยที่ผ่านมา ลูกค้าของบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น แต่บัญชีที่เปิดเทรดหุ้นต่างประเทศเป็นหลักร้อยบัญชี แต่กองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศนั้นให้ผลอตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้าซึ่งได้คืนเงินต้นแล้ว 2 รอบ ๆ ละ 5%