ดิ เอราวัณ กรุ๊ป คาดไตรมาส 2/55 ขาดทุน แม้กำไรพิเศษขายที่ดินศรีราชา 19 ล้านบาท เหตุเป็นช่วงโลว์ซีซัน มั่นใจทั้งปีมีกำไรสุทธิ ด้าน “ผู้บริหาร” แจงปรับกลยุทธ์ขายโรงแรมปีละ 1 แห่ง หวังสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น
นายไกรลักขณ์ อัศวฉัตรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 และ 3 ปีนี้ จะมีผลขาดทุนสุทธิ หากบริษัทไม่มีการกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ามา แม้ในไตรมาส 2/55 ปีนี้จะมีกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่ศรีราชา 19 ล้านบาท เนื่องจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจโรงแรมจะมีผลขาดทุนในช่วงดังกล่าว เนื่องจากเป็นช่วงธุรกิจขาลง และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาน้อยลง ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิจากผลประกอบการไตรมาส 1 และไตรมาส 4 /55 เติบโตดีกว่าปีก่อน จากที่บริษัทมีการปรับปรุงโรงแรม ทำให้ราคาห้องพักปรับตัวสูงขึ้น และอัตราการเข้าพักปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปีก่อน 69% ขณะที่รายได้รวมปีนี้คาดว่าจะโต 20% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 4.48 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การดำเนินงานที่จะขายโรงแรม 1 แห่งทุกปี ตามแนวคิดจากที่จะทยอยรับรู้รายได้จากโรงแรมในแต่ละปี มาเป็นการได้รับผลตอบแทนก้อนใหญ่ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่เพราะต้องการเงินทุน เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ และสามารถกู้ได้ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 20-25% ซึ่งหากผลตอบแทนจากการขายโรงแรมไม่เป็นไปตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ก็จะไม่ขายออกมา โดยกลยุทธ์การขายโรงแรมเพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นนั้น บริษัทเพิ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี 54 โดยที่โรงแรมโรงแรมไฮแอท เอราวัณ และโรงแรมเจดับบลิว แมริออทจะไม่มีการขายทิ้ง
“เดิมนั้น บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่การที่ ก.ล.ต.ได้ออกเกณฑ์ระดมทุนของอสังหาริมทรัพย์เป็นการออกกองรีท แทน พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ นั้น ปัจจุบันเกณฑ์บางส่วนที่ยังไม่ชัดเจนสำหรับการระดมทุนของโรงแรม ทำให้มองว่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนไม่ใช่คำตอบ บริษัทจึงใช้วิธีการขายโรงแรมให้แก่นักลงทุนที่เข้ามาซื้อโดยตรงดีกว่า”
สำหรับปัจจุบัน บริษัทยังไม่มีแผนที่จะไปทำธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ แต่การเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) ในอีกไม่นานนี้ มองว่ามีความสำคัญ โดยบริษัทมองหาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในโรงแรมต่างประเทศ หากจังหวะเหมาะสม ทำให้อาจต้องปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน 5 ปี ของบริษัท แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีแผนก็ตาม แต่บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเพื่อสำรองไว้เพื่อเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) โรงแรมปีละ 400-500 ล้านบาท ในเวลาที่เอื้ออำนวย
นายไกรลักขณ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะมีการสร้างโรงแรมระดับ 3-4 ดาวมากขึ้นตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะมองว่าโรงแรมระดับ 3-4 ดาวมีอัตราการเติบโตที่สูงในอนาคต หลังพบว่าโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯ นั้น มีการแข่งขันสูงเติบโตไม่มากแล้ว ซึ่งบริษัทจะเน้น เรื่องการปรับปรุงห้องพักให้ดีขึ้น เพื่อปรับราคาห้องพักมากขึ้นประมาณ 7%
โดยปีนี้ จะมีการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมไฮแอท เอราวัณ ซึ่งจะทยอยปรับตัวในช่วงโลว์ซีซัน โดยใช้เงินปรับปรุงรวม 700 ล้านบาท ในเวลา 3 ปี ขณะที่ปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมเดือนธันวาคมปีนี้ 2 แห่ง คือ โรงแรมเมอร์เคียวสยาม และไอบิสสยาม กรุงเทพฯ ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีโรงแรมเป็น 16 แห่ง
นายไกรลักขณ์ อัศวฉัตรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 และ 3 ปีนี้ จะมีผลขาดทุนสุทธิ หากบริษัทไม่มีการกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ามา แม้ในไตรมาส 2/55 ปีนี้จะมีกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่ศรีราชา 19 ล้านบาท เนื่องจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจโรงแรมจะมีผลขาดทุนในช่วงดังกล่าว เนื่องจากเป็นช่วงธุรกิจขาลง และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาน้อยลง ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิจากผลประกอบการไตรมาส 1 และไตรมาส 4 /55 เติบโตดีกว่าปีก่อน จากที่บริษัทมีการปรับปรุงโรงแรม ทำให้ราคาห้องพักปรับตัวสูงขึ้น และอัตราการเข้าพักปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปีก่อน 69% ขณะที่รายได้รวมปีนี้คาดว่าจะโต 20% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 4.48 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การดำเนินงานที่จะขายโรงแรม 1 แห่งทุกปี ตามแนวคิดจากที่จะทยอยรับรู้รายได้จากโรงแรมในแต่ละปี มาเป็นการได้รับผลตอบแทนก้อนใหญ่ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่เพราะต้องการเงินทุน เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ และสามารถกู้ได้ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 20-25% ซึ่งหากผลตอบแทนจากการขายโรงแรมไม่เป็นไปตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ก็จะไม่ขายออกมา โดยกลยุทธ์การขายโรงแรมเพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นนั้น บริษัทเพิ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี 54 โดยที่โรงแรมโรงแรมไฮแอท เอราวัณ และโรงแรมเจดับบลิว แมริออทจะไม่มีการขายทิ้ง
“เดิมนั้น บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่การที่ ก.ล.ต.ได้ออกเกณฑ์ระดมทุนของอสังหาริมทรัพย์เป็นการออกกองรีท แทน พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ นั้น ปัจจุบันเกณฑ์บางส่วนที่ยังไม่ชัดเจนสำหรับการระดมทุนของโรงแรม ทำให้มองว่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนไม่ใช่คำตอบ บริษัทจึงใช้วิธีการขายโรงแรมให้แก่นักลงทุนที่เข้ามาซื้อโดยตรงดีกว่า”
สำหรับปัจจุบัน บริษัทยังไม่มีแผนที่จะไปทำธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ แต่การเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) ในอีกไม่นานนี้ มองว่ามีความสำคัญ โดยบริษัทมองหาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในโรงแรมต่างประเทศ หากจังหวะเหมาะสม ทำให้อาจต้องปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน 5 ปี ของบริษัท แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีแผนก็ตาม แต่บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเพื่อสำรองไว้เพื่อเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) โรงแรมปีละ 400-500 ล้านบาท ในเวลาที่เอื้ออำนวย
นายไกรลักขณ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะมีการสร้างโรงแรมระดับ 3-4 ดาวมากขึ้นตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะมองว่าโรงแรมระดับ 3-4 ดาวมีอัตราการเติบโตที่สูงในอนาคต หลังพบว่าโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯ นั้น มีการแข่งขันสูงเติบโตไม่มากแล้ว ซึ่งบริษัทจะเน้น เรื่องการปรับปรุงห้องพักให้ดีขึ้น เพื่อปรับราคาห้องพักมากขึ้นประมาณ 7%
โดยปีนี้ จะมีการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมไฮแอท เอราวัณ ซึ่งจะทยอยปรับตัวในช่วงโลว์ซีซัน โดยใช้เงินปรับปรุงรวม 700 ล้านบาท ในเวลา 3 ปี ขณะที่ปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมเดือนธันวาคมปีนี้ 2 แห่ง คือ โรงแรมเมอร์เคียวสยาม และไอบิสสยาม กรุงเทพฯ ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีโรงแรมเป็น 16 แห่ง