บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีเป็น 1,350 จุด จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ดีเกินคาด พร้อมเชื่อปัจจัยลบในต่างประเทศจะคลี่คลาย อีกทั้งความพร้อม และความน่าสนใจเข้าลงทุนในไทยเพื่อรองรับ AEC จะมีสูงขึ้น
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ นักกลยุทธ์ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “Approaching Turning Points” ว่า บริษัทปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นปีนี้เป็น 1,350 จุด จากเดิม 1,150 จุด จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม SET50 ซึ่งมีนักวิเคราะห์หลายแห่งปรับเพิ่มผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 1.8% และในส่วนของบริษัทก็เตรียมจะปรับเพิ่มกำไรต่อหุ้นของ บจ.(EPS) ขึ้นอีกจากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 26% แต่ต้องรอให้การประกาศผลดำเนินไตรมาส 1 เสร็จสิ้นก่อน
ทั้งนี้ ประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,257 จุด ส่วนหนึ่งมาจากแรงเก็งกำไรผลดำเนินงานในไตรมาส 1 หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และสถานการณ์วิกฤตในกลุ่มประเทศยูโรโซนเกิดขึ้นแบบเฉพาะบางประเทศ และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัว แต่ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบ 1,100 จุด เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงความกังวลในปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ จะเป็นแรงกดดันให้หลายประเทศต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจะกลับขึ้นมาดีอีกครั้งในไตรมาส 4 และทำให้ดัชนีเป็นไปตามเป้าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเชื่อว่า สถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะคลี่คลายลงไป ขณะที่ในประเทศความขัดแย้งทางการเมืองจะลดลง ความสนใจของนักลงทุนต่อประเทศไทยจะเพิ่มทั้งในภาคการลงทุน และตลาดเงิน เนื่องจากมีความโดดเด่นต่อการเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โดยรวม แนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น 60% แบ่งเป็น domestice play ได้แก่ SIRI, AP, ADVANC, KK, AMATA, HEMRAJ และ valuation laggard ได้แก่ PTTGC, TOP, PTT, KTB, BANPU, TCAP, MCOT, RATCH, EGCO ส่วนอีก 30% ลงทุนในหุ้นกลุ่ม turn around ได้แก่ TICON, PS, DELTA, SPCG และ 10% ลงทุนในหุ้นกลุ่มม้ามืด เช่น LOXLEY, PRIN, BLAND, SALEE, CFRESH
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ นักกลยุทธ์ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “Approaching Turning Points” ว่า บริษัทปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นปีนี้เป็น 1,350 จุด จากเดิม 1,150 จุด จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม SET50 ซึ่งมีนักวิเคราะห์หลายแห่งปรับเพิ่มผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 1.8% และในส่วนของบริษัทก็เตรียมจะปรับเพิ่มกำไรต่อหุ้นของ บจ.(EPS) ขึ้นอีกจากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 26% แต่ต้องรอให้การประกาศผลดำเนินไตรมาส 1 เสร็จสิ้นก่อน
ทั้งนี้ ประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,257 จุด ส่วนหนึ่งมาจากแรงเก็งกำไรผลดำเนินงานในไตรมาส 1 หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และสถานการณ์วิกฤตในกลุ่มประเทศยูโรโซนเกิดขึ้นแบบเฉพาะบางประเทศ และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัว แต่ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบ 1,100 จุด เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงความกังวลในปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ จะเป็นแรงกดดันให้หลายประเทศต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจะกลับขึ้นมาดีอีกครั้งในไตรมาส 4 และทำให้ดัชนีเป็นไปตามเป้าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเชื่อว่า สถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะคลี่คลายลงไป ขณะที่ในประเทศความขัดแย้งทางการเมืองจะลดลง ความสนใจของนักลงทุนต่อประเทศไทยจะเพิ่มทั้งในภาคการลงทุน และตลาดเงิน เนื่องจากมีความโดดเด่นต่อการเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โดยรวม แนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น 60% แบ่งเป็น domestice play ได้แก่ SIRI, AP, ADVANC, KK, AMATA, HEMRAJ และ valuation laggard ได้แก่ PTTGC, TOP, PTT, KTB, BANPU, TCAP, MCOT, RATCH, EGCO ส่วนอีก 30% ลงทุนในหุ้นกลุ่ม turn around ได้แก่ TICON, PS, DELTA, SPCG และ 10% ลงทุนในหุ้นกลุ่มม้ามืด เช่น LOXLEY, PRIN, BLAND, SALEE, CFRESH
