“พีดีเฮ้าส์” ฟุ้ง เดินสายทัวร์เปิดสาขา “ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์” กทม.และเชียงรายอีก 2 แห่ง พร้อมตัวสาขาแบรนด์น้องใหม่ “เอคิวโฮม” ในไตรมาสที่ 2 รวดเดียว 2สาขา เผยไตรมาสแรกยอดขายสาขาต่างจังหวัด ส่งสัญญาณฟื้นตัวช่วงท้ายไตรมาสชัดเจน ขณะที่ยอดขายกทม. และปริมณฑลพลาดเป้า ส่งผลยอดขายรวมจาก 26 สาขาทั่วประเทศทำได้แค่ 267 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 11% คาดตลาดกทม.-ปริมณฑลยังซึมต่อ ย้ำปัญหาแรงงานเป็นอุปสรรคสำคัญ อุตสาหกรรมก่อสร้าง หากส่งมอบงานช้าอาจกระทบรายได้ปี 55 นี้
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน “พีดีเฮ้าส์” และ “เอคิวโฮม” เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทมีแผนการขยายสาขาแฟรนไชส์พีดีเฮ้าส์ เพิ่มอีก 2 แห่งได้แก่ สาขาถนนพระราม 2 และสาขาจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้า และขยายพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น รวมทั้งเตรียมเปิดศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม พร้อมๆ กันอีก 2 สาขาคือ สาขานครปฐม และนครราชสีมา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คาดว่าการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโต ตามแผนการตลาดที่บริษัทฯ วางไว้ปี 2555 นี้
ทั้งนี้ ตลาดรับสร้างบ้าน และยอดขายของกลุ่มบริษัทฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงไตรมาสแรก พบว่า ความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อยังซึมต่อเนื่องจากช่วงน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ขณะที่กำลังซื้อจากสาขาในต่างจังหวัดกลับฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สาขาในพื้นที่ภาคอีสานได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร์ สกลนคร และสาขาในภาคเหนือ เช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก ต่างมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกแห่ง โดยปัจจัยสำคัญๆ ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการกับพีดีเฮ้าส์ เป็นเพราะ 1.ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ 2.ความต้องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานหรือบ้านที่ก่อสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัท ตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 ล้านบาท ในขณะทุกสาขาของ พีดีเฮ้าส์ ทั่วประเทศสามารถทำยอดขายรวมได้เพียง 267 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 11% แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดรวมรับสร้างบ้านที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวก็ถือว่ายอมรับได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ ประเมินว่าความเชื่อมั่น และกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เพราะความกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมคลายลงมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มได้อีก
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมใช้งบการตลาดจำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ เช่น โฆษณาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายบิลบอร์ด เว็บไซต์ เคเบิลทีวี และร่วมออกบูทในงาน Build Tech’ 12 ระหว่างวันที่ 5-8 เมษายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา โดยไตรมาส 2 นี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 340-360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนประมาณ 30% จากเป้ายอดขายตลอดทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท
นายพิศาล กล่าวว่า สำหรับปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านทั้งรายเล็ก รายใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเหมือนๆ กัน ในส่วนของบริษัทฯ เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยนำระบบเสาคานสำเร็จรูปที่เรียกว่า Multi-Joint Lock System ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแรงงานจำนวนมาก มาใช้แทนวิธีก่อสร้างบ้านแบบเดิมๆ รวมทั้งปีนี้ลูกค้าของบริษัทฯ กว่าร้อยละ 70% สร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังสามารถหาแรงงานก่อสร้างฝีมือเข้ามาร่วมงานได้เพียงพอกับปริมาณงานสร้างบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อานิสงส์เปิด AEC ดันรับสร้างบ้านอีสานบูม
ด้านายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ฯ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัด วันนี้นับว่ามีการขยายตัวที่สูงกว่าตลาดกทม.-ปริมณฑลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในจังหวัดเศรษฐกิจ และจังหวัดศูนย์กลางภูมิภาคของภาคอีสาน เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และจังหวัดแนวตะเข็บชายแดน ที่ขณะนี้มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย (บ้านสร้างเอง) อย่างมาก
“สังเกตได้เป็นอย่างดี ยักษ์ใหญ่ในหลายธุรกิจของเมืองไทยเข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็น บริษัทโฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในเครือแลนด์ฯ ที่มีการขยายสาขาโฮมโปร, กลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนาฯ ลงทุนเปิดตัวห้างสรรพสินค้า และร้านค้าวัสดุก่อสร้างไทวัสดุ, บริษัท สยาม โกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ชูคอนเซ็ปต์แหล่งร้านค้าวัสดุก่อสร้างครบวงจร รวมถึงการขยายการลงทุนของร้านค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบโมเดิร์นเทรด ดูโฮม รวมถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากขยายการลงทุนไปในพื้นภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ภายใต้แบรน์ ซิเมนต์ไทยโฮมมาร์ท”
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่แล้ว เหตุผลสำคัญที่เลือกมาสู่ตลาดภาคอีสาน เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะเกิดขึ้นใน 3 ปีจากนี้ ทำให้ขณะนี้ ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สกลนคร ฯลฯ ปรับราคาขายขึ้นสูง 50-100 % จากเดิมราคาขายไร่ละ 1 ล้านบาท ก็ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าหากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในส่วนกลางขยายการลงทุนไปในจังหวัดภาคอีสานมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ อย่างมาก และชัดเจนมากขึ้น
“เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดรับสร้างบ้านในระดับล่างราคา 1-2 ล้านบาท บริษัทฯ ได้เตรียมแผนเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าว โดยมีการออกแบบบ้านรองรับไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้รอเพียงดัชนีชี้ชัดว่าตลาดระดับล่างมีความต้องการขยายตัวสูง โดยวัดจากการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ ที่ปัจจุบันมีหลายบริษัทเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการแล้ว”
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน “พีดีเฮ้าส์” และ “เอคิวโฮม” เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทมีแผนการขยายสาขาแฟรนไชส์พีดีเฮ้าส์ เพิ่มอีก 2 แห่งได้แก่ สาขาถนนพระราม 2 และสาขาจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้า และขยายพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น รวมทั้งเตรียมเปิดศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม พร้อมๆ กันอีก 2 สาขาคือ สาขานครปฐม และนครราชสีมา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คาดว่าการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโต ตามแผนการตลาดที่บริษัทฯ วางไว้ปี 2555 นี้
ทั้งนี้ ตลาดรับสร้างบ้าน และยอดขายของกลุ่มบริษัทฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงไตรมาสแรก พบว่า ความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อยังซึมต่อเนื่องจากช่วงน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ขณะที่กำลังซื้อจากสาขาในต่างจังหวัดกลับฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สาขาในพื้นที่ภาคอีสานได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร์ สกลนคร และสาขาในภาคเหนือ เช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก ต่างมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกแห่ง โดยปัจจัยสำคัญๆ ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการกับพีดีเฮ้าส์ เป็นเพราะ 1.ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ 2.ความต้องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานหรือบ้านที่ก่อสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัท ตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 ล้านบาท ในขณะทุกสาขาของ พีดีเฮ้าส์ ทั่วประเทศสามารถทำยอดขายรวมได้เพียง 267 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 11% แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดรวมรับสร้างบ้านที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวก็ถือว่ายอมรับได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ ประเมินว่าความเชื่อมั่น และกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เพราะความกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมคลายลงมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มได้อีก
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมใช้งบการตลาดจำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ เช่น โฆษณาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายบิลบอร์ด เว็บไซต์ เคเบิลทีวี และร่วมออกบูทในงาน Build Tech’ 12 ระหว่างวันที่ 5-8 เมษายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา โดยไตรมาส 2 นี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 340-360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนประมาณ 30% จากเป้ายอดขายตลอดทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท
นายพิศาล กล่าวว่า สำหรับปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านทั้งรายเล็ก รายใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเหมือนๆ กัน ในส่วนของบริษัทฯ เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยนำระบบเสาคานสำเร็จรูปที่เรียกว่า Multi-Joint Lock System ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแรงงานจำนวนมาก มาใช้แทนวิธีก่อสร้างบ้านแบบเดิมๆ รวมทั้งปีนี้ลูกค้าของบริษัทฯ กว่าร้อยละ 70% สร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังสามารถหาแรงงานก่อสร้างฝีมือเข้ามาร่วมงานได้เพียงพอกับปริมาณงานสร้างบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อานิสงส์เปิด AEC ดันรับสร้างบ้านอีสานบูม
ด้านายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ฯ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัด วันนี้นับว่ามีการขยายตัวที่สูงกว่าตลาดกทม.-ปริมณฑลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในจังหวัดเศรษฐกิจ และจังหวัดศูนย์กลางภูมิภาคของภาคอีสาน เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และจังหวัดแนวตะเข็บชายแดน ที่ขณะนี้มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย (บ้านสร้างเอง) อย่างมาก
“สังเกตได้เป็นอย่างดี ยักษ์ใหญ่ในหลายธุรกิจของเมืองไทยเข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็น บริษัทโฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในเครือแลนด์ฯ ที่มีการขยายสาขาโฮมโปร, กลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนาฯ ลงทุนเปิดตัวห้างสรรพสินค้า และร้านค้าวัสดุก่อสร้างไทวัสดุ, บริษัท สยาม โกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ชูคอนเซ็ปต์แหล่งร้านค้าวัสดุก่อสร้างครบวงจร รวมถึงการขยายการลงทุนของร้านค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบโมเดิร์นเทรด ดูโฮม รวมถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากขยายการลงทุนไปในพื้นภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ภายใต้แบรน์ ซิเมนต์ไทยโฮมมาร์ท”
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่แล้ว เหตุผลสำคัญที่เลือกมาสู่ตลาดภาคอีสาน เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะเกิดขึ้นใน 3 ปีจากนี้ ทำให้ขณะนี้ ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สกลนคร ฯลฯ ปรับราคาขายขึ้นสูง 50-100 % จากเดิมราคาขายไร่ละ 1 ล้านบาท ก็ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าหากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในส่วนกลางขยายการลงทุนไปในจังหวัดภาคอีสานมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ อย่างมาก และชัดเจนมากขึ้น
“เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดรับสร้างบ้านในระดับล่างราคา 1-2 ล้านบาท บริษัทฯ ได้เตรียมแผนเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าว โดยมีการออกแบบบ้านรองรับไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้รอเพียงดัชนีชี้ชัดว่าตลาดระดับล่างมีความต้องการขยายตัวสูง โดยวัดจากการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ ที่ปัจจุบันมีหลายบริษัทเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการแล้ว”