xs
xsm
sm
md
lg

เมย์แบงก์จ้องฮุบธนาคารไทย หวังลุยธุรกิจการเงินครอบคลุมอาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เผยบริษัทแม่ สนใจซื้อธนาคารพาณิชย์ไทย หวังทำธุรกิจทางการเงินครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน แต่โอกาสเข้าซื้อไม่มาก จากแบงก์ไทยแข็งแกร่ง “มนตรี” ลั่น ตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ค้าหุ้นต่อไปอีก 10 ข้างหน้า แจงอัตรากำไรสุทธิปีก่อนหด จากต้นทุนพนักงานเพิ่มเพื่อดึงให้ทำงานกับบริษัทต่อไปเหตุปลายปีมีการดึงตัวมาร์เกตติ้ง

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ MBKET เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ MALAYAN BANKING BERHAD หรือ เมย์แบงก์ สนใจที่จะเข้ามาซื้อกิจการธนาคารพาณิชย์ของไทย เนื่องจาก เมย์แบงก์มีเป้าหมายที่จะทำธุรกิจทางด้านการเงินที่ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนนี้ ซึ่งโอกาสในการเข้ามาซื้อธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยนั้นถือว่ามีไม่มาก เพียง 3-4 แห่ง จากที่ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่ง โดยทางบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง อยู่ระหว่างการช่วยเข้าไปพิจารณา

“ทางเมย์แบงก์ได้มีการบอกว่าจะเข้ามาซื้อแบงก์พาณิชย์ไทย เพื่อที่จะทำธุรกิจทางการเงินอย่างครบวงจร ทั้งในเรื่องประเภทธุรกิจทั้งแบงก์ และไอบี และครอบคุมทางด้านภูมิศาสตร์คือ ครอบคลุมอาเซียน ซึ่งทาง บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ก็เข้าไปช่วยดู แต่โอกาสที่จะเข้าไปซื้อไม่เยอะ และ แบงก์ไทยที่เปิดให้เราเข้าไปซื้อไม่เยอะเหมือนกัน ”

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ปีนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย จากปีก่อนที่เฉลี่ย 0.16% เพราะ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาการแข่งขันก็ไม่ได้รุนแรงมาก ซึ่งทางผู้ประกอบการมีการหารือกันว่าการแข่งขันนั้นจะแข่งในเรื่องของการจัดโปรโมชั่น การขยายฐานลูกค้า ซึ่งหากมีการปรับราคาก็จะไม่ต่ำกว่าค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได ทำให้ภายการแข่งขันในช่วงดังกล่าวดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักจากปีก่อน

สำหรับรายได้รวมปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตจากปีก่อนที่มี 3,192 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 672 ล้านบาท เนื่องจาก มูลค่าการซื้อขายหุ้น (วอลุ่มเทรด)ปีนี้เติบโตมากขึ้น ซึ่งคาดว่าปีนี้วอลุ่มเทรดจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากงานที่ปรึกษาทางการเงิน โดยปีนี้คาดว่าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประมาณ 3-4 บริษัท และ นำกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้าจดทะเบียนอีก 3-4 กองทุน และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอีก 1-2 กองทุน และยังมีที่ปรึกษาทางการเงินอื่นๆ

อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจากที่อุตสาหกรรมหลักทรัพย์มีการดึงตัวเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) จากที่จะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปีนี้นั้น ทำให้บริษัทได้มีการจัดโครงการพิเศษในการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานของบริษัทเพื่อที่จะให้พนักงานของบริษัทยังคงทำงานที่บล.เมย์แบงก์ต่อไป จึงมีผลทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการปรับตัวลดลง จาก 26-27% ในปี 2553 เหลืออยู่ที่ 21% ในปี 2554 โดยบริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในอนาคตจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25-29%

นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกต)แชร์ปีนี้จะอยู่ที่ 13-14% จากสิ้นปี2554 อยู่ที่ 11.8 เนื่องจาก บริษัทจะมีการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยหวังว่าจะมีนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เพิ่มประมาณ1 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มี 1.06 แสนบัญชี และ ในปีนี้บริษัทจะมีการจัดตั้งหน่วยงานบริหารสินทรัพย์ลูกค้าส่วนบุคคล (ไพรเวทเวลท์) และ บริษัทคาดว่ามาร์เกตแชร์ในธุรกิจอนุพันธ์จะอยู่ที่ 9-10% ซึ่งการที่บริษัทไม่มีพอร์ตการลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้นทำให้บริษัทมีโอกาสยากที่จะมีมาร์เกตแชร์เป็นอันดับ 1

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ระดับโลกอยู่ที่จะเข้ามาเสริมทำให้งานวิจัยของบริษัทมีคุณภาพที่ดีและมีการครอบคลุมมากขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีความแข็งแกร่ง จึงทำให้บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำทางด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อเนื่องไปอีก 10 ปีข้างหน้า

“บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง เป็น อันดับ 1 ในธุรกิจหลักทรัพย์เข้าสู่ปีที่10 ในปีนี้ และ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นอันดับ 1 ต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า จากที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นแข็งเกร่ง และบริษัทมีศักยภาพในการขยายงานต่างๆ โดยปีนี้คาดว่าจะมีแชร์อยู่ที 13-14% ”นายมนตรี กล่าว

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางต่างประเทศในเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซ โดยส่วนตัวมองว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นจะมีลักษณะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่อาจมีการปรับตัวลดลงบ้าง โดยนักลงทุนจะต้องมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และมีการขายทำกำไรบ้าง โดยส่วนตัวเชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)โต 7% จากได้ประโยชน์สิทธิภาษีนิติบุคคลที่จะมีการปรับลดจาก 30% เหลือ 23 % โดยกลุ่มธุรกิจที่จะมีการเติบโต เช่น กลุ่มค้าปลีก การเงิน ก่อสร้างฯลฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น