นายมนตรี ศรีไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน)หรือ MBKET เปิดเผยว่า ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 12% จากปัจจุบันที่ 11.69% ซึ่งต่ำกว่าปี
2553 ที่อยู่ที่ 12.77% จากเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าไว้ปีนี้ที่ 13% เนื่องจาก ปัจจัยต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทย และ
ปัจจัยน้ำท่วมทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นจากการที่
นักลงทุนเข้ามาใช้บริการยืมและให้ยืมหุ้น (SBL)ในการนำหุ้นไปชอร์
ทั้งนี้ ทำให้ส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ของSBLของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 50-60% โดยส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวม
ของบริษัทเพิ่มอีก 2-3% และรายได้ธุรกิจวาณิชธกิจต่ำกว่าปีก่อนที่มี 40-50 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานวาณิชธกิจในมืออยู่ที่ 13
-20 ดีล จึงส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้ต่ำกว่าปี2553 เล็กน้อยที่มี 800 ล้านบาท
"เดิมบริษัทคาดว่าจะมีมาร์เกตแชร์ต่ำกว่า 12% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและน้ำท่วมทำให้นักลงทุนชะลอ
การลงทุน แต่จากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาโดเฉพาะเดือนนี้ นักลงทุนหันมาใช้บริการยืมหุ้นเพื่อไปขายชอร์ต จากภาวะตลาดหุ้นมี
ความผันผวน จึงทำให้บริษัทมีวอลุ่มเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้คาดว่ามาร์เกตแชร์ปีนี้จะทำได้ที่ 12% " นายมนตรี กล่าว
สำหรับแผนปีหน้าหลังจากที่บริษัทได้มีทางเมย์แบงก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วจะใช้ความสัมพันธ์ในการทำธุรกิจเป็นงานวาณิชธนกิจในต่างประเทศ เช่น การนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนข้ามชาติฯลฯ และ บริษัทจะมีการรุกทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์(ค่าคอมมิชชั่น)ปีหน้าเช่น การเป็นที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (ไพร์เวทเวิล)
นอกจากนี้บริษัทจะมีการทำธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)ให้ครบวงจรมากขึ้น โดยการออกกองทุนหุ้น และตราสารหนี้มากขึ้น และการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีบริษัท(พร็อพเทรด)แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW)ซึ่งที่ผ่านมาที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติวงเงินไว้ 1,600 ล้านบาท
(มหาชน)หรือ MBKET เปิดเผยว่า ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 12% จากปัจจุบันที่ 11.69% ซึ่งต่ำกว่าปี
2553 ที่อยู่ที่ 12.77% จากเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าไว้ปีนี้ที่ 13% เนื่องจาก ปัจจัยต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทย และ
ปัจจัยน้ำท่วมทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นจากการที่
นักลงทุนเข้ามาใช้บริการยืมและให้ยืมหุ้น (SBL)ในการนำหุ้นไปชอร์
ทั้งนี้ ทำให้ส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ของSBLของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 50-60% โดยส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวม
ของบริษัทเพิ่มอีก 2-3% และรายได้ธุรกิจวาณิชธกิจต่ำกว่าปีก่อนที่มี 40-50 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานวาณิชธกิจในมืออยู่ที่ 13
-20 ดีล จึงส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้ต่ำกว่าปี2553 เล็กน้อยที่มี 800 ล้านบาท
"เดิมบริษัทคาดว่าจะมีมาร์เกตแชร์ต่ำกว่า 12% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและน้ำท่วมทำให้นักลงทุนชะลอ
การลงทุน แต่จากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาโดเฉพาะเดือนนี้ นักลงทุนหันมาใช้บริการยืมหุ้นเพื่อไปขายชอร์ต จากภาวะตลาดหุ้นมี
ความผันผวน จึงทำให้บริษัทมีวอลุ่มเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้คาดว่ามาร์เกตแชร์ปีนี้จะทำได้ที่ 12% " นายมนตรี กล่าว
สำหรับแผนปีหน้าหลังจากที่บริษัทได้มีทางเมย์แบงก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วจะใช้ความสัมพันธ์ในการทำธุรกิจเป็นงานวาณิชธนกิจในต่างประเทศ เช่น การนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนข้ามชาติฯลฯ และ บริษัทจะมีการรุกทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์(ค่าคอมมิชชั่น)ปีหน้าเช่น การเป็นที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (ไพร์เวทเวิล)
นอกจากนี้บริษัทจะมีการทำธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)ให้ครบวงจรมากขึ้น โดยการออกกองทุนหุ้น และตราสารหนี้มากขึ้น และการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีบริษัท(พร็อพเทรด)แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW)ซึ่งที่ผ่านมาที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติวงเงินไว้ 1,600 ล้านบาท
