ส.ธุรกิจตลาดทุน เร่งรัฐบาลผลักดัน กม. ฟอกเงิน 2 ฉบับ เพื่อให้เสร็จก่อนการเปิดประชาคม ศก.อาเซียน ในปี 58 เชื่อจะทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการนำเงินไปลงทุนเพิ่มจาก 1 สัปดาห์ จะเพิ่มเป็น 2-3 สัปดาห์ พร้อมคาดตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังสดใส แนวโน้มโตได้กว่า 10% "ก้องเกียรติ" ยอมรับ ไทยมีธุรกิจใต้ดินค่อนข้างมาก และรัฐบาลพิสูจน์ฝีมือปลดบัญชีดำ FATF ขณะที่ ตลท. เตรียมอธิบายแบล็คลิสต์เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจ
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานว่าด้วยการสกัดการฟอกเงินนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาว เพราะต่างประเทศต้องเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบที่มาของเงินไทยที่ไปลงทุนในประเทศ
"กรณีดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงระยะเวลาการนำเงินไปลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิมที่เคยใช้เวลา 1 สัปดาห์ อาจเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 สัปดาห์ หากรัฐบาลไม่เร่งผลักดันกฎหมายการฟอกเงิน 2 ฉบับให้แล้วเสร็จก่อนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยแน่นอน"
ทั้งนี้ เชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในไทยในระยะสั้น เพราะอันดับความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ที่ระดับ BBB+ ส่วนคาดการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะวิกฤตการเงินในยุโรปเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศอิตาลีและสเปนลดลงเหลือร้อยละ5 อีกทั้งสภาพคล่องของไทยยังอยู่ในระดับดี และได้รับอานิสงค์จากเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอาเซียน จนทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส กล่าวว่า การที่ไทยถูกขึ้นบัญชีดำโดย FATF กระทบต่อภาคเอกชน โดยเฉพาะในกรณีการนำเงินออกไปทำธุรกรรมในต่างประเทศ ที่อาจถูกตรวจสอบมากขึ้น ซึ่งเป็นความยุ่งยากและมีต้นทุนการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะเงินลงทุนทั้งหมดมีแหล่งที่มาชัดเจน และตรวจสอบได้
"ยอมรับว่าไทยมีธุรกิจใต้ดินค่อนข้างมาก สำหรับกรณีไทยถูกขึ้นบัญชีดำ เป็นเรืิ่องที่มีการส่งสัญญาณมานานแล้ว ให้ประเทศไทยปรับปรุงมาตรฐานกฎหมายตามที่ FATF ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจริงจังในการสร้างความเชื่อมั่นต่อ FATF เพื่อนำไปสู่การปลดไทยออกจากบัญชีดำให้ได้"
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีปัจจัยบวกสนับสนุนให้ตลาดเติบโตได้ดี โดยเฉพาะปัจจัยในต่างประเทศ ที่เศรษฐกิจของสหรัฐฟื้นตัวและยุโรปได้รับการช่วยเหลือ แต่การฟื้นตัวจะไม่ราบรื่นมากนัก และต้องใช้มาตรการเพิ่มสภาพคล่องเช่นเดียวกับสหรัฐฯ จึงเป็นช่วงที่ดีของตลาดหุ้นไทย
นายก้องเกียรติ เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5-10 หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากสภาพคล่องในระบบตลาดการเงินล้นระบบ อัตราดอกเบี้ยไม่มีสัญญาณการปรับขึ้น ขณะที่ผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนเติบโตร้อยละ 10
"ปีนี้จะไม่เห็นการเติบโตเกินกว่าระดับนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังขับเคลื่อนด้วยหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ปตท และบ้านปู ซึ่งกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ P/E ของหุ้นใหญ่ในตลาดต่างประเทศ จะมี P/E ในระดับที่ยังต่ำกว่าประเทศไทยที่ 8-9 เท่า ฉะนั้น P/E ของหุ้นจะสูงกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดโลก ซึ่งต้องรอให้หุ้นของตลาดโลกปรับตัวขึ้นก่อน จึงแนะนำในปีนี้ให้เลือกลงทุนโดยพิจารณาปัจจัยตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาหุ้นที่เป็นกลุ่มเดียวกัน"
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หลังจาก FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการสกัดการฟอกเงิน ยังไม่ส่งกระทบชัดเจนต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะยังมีเม็ดเงินจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในไทยอยู่ และยังมีมูลค่าการซื้อขายปริมาณมากถึง 40,000 ล้านบาท แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันกฎหมายฟอกเงินทั้ง 2 ฉบับให้เร่งดำเนินการด้วย
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงาน Invest Thailand Fair ครั้งที่ 2 มหกรรมจัดทัพลงทุน ฟุ้น ฟิวเจอร์ ทองคำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุน หลังเกิดวิกฤตอุทกภัยในปีที่ผ่านมา และปัจจัยด้านสถานการณ์การเมืองด้วย นอกจากนี้ ตลท. จะนำเรื่องการที่ FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย มาอธิบายและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมถึงการเพิ่มการลงทุนจากระบบออนไลน์ให้มากขึ้น รองรับกระแสโซเชียลมีเดียที่เติบโตในไทยด้วย