สมาคมธนาคารไทย ถกหาข้อสรุป 5 แนวทาง เก็บค่าธรรมเนียมใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ หวั่นนโยบายการเงินไร้ผล ชี้ การแข่งขันระหว่าง ธนาคารรัฐและเอกชน ยังไม่เท่าเทียมกัน อาจทำให้ระบบสถาบันการเงินเบี่ยงเบน เพราะการส่งผ่านนโยบายการเงินของ ธปท. จะทำได้ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะยังมีเงินฝากของธนาคารเฉพาะกิจ 30% ที่อยู่ในตลาดไม่สามารถควบคุมได้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวถึงความคืบหน้าในการสรุปค่าธรรมเนียมการใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) โดยระบุว่า สมาชิกสมาคมธนาคารไทยได้ร่วมหารือกันเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งได้นำแนวทางเลือกต่างๆ ในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เพื่อนำมาชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ โดยเป็นแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำนวน 3 แนวทาง และข้อเสนอของสมาคมฯ อีก 2 แนวทาง มาพิจารณาและให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น
สำหรับแนวทางทั้ง 5 มีทั้งเรื่องการกำหนดอัตราการจัดเก็บอยู่ในช่วง 0.40% ถึงไม่เกิน 0.60% รวมถึงระยะเวลานำส่งเงินเพื่อชำระหนี้กองทุนฯ ที่กำหนดระยะเวลาสูงสุด 25 ปี
"การที่เข้ามาคุยกันในวันนี้ เพื่อให้สมาชิกทุกคนได้แสดงความเห็นตามแนวทางของแบงก์ชาติและของสมาคมมาคุยกันว่าเป็นอย่างไร มีข้อเสนอทั้งในเรื่องอัตราการจัดเก็บเป็นเท่าไร รวมถึงระยะเวลา ถ้าเก็บน้อยก็ส่งยาว เก็บเยอะก็ส่งสั้น สูงสุด 25 ปี"
โดยรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์เช้านี้ระบุว่า สมาคมธนาคารไทยเสนอแนวทางการเก็บค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดจากระดับสูงสุดที่ 0.56% พร้อมทั้งเสนอให้เก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐด้วย
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้ให้ขอคิดเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันที่ยังเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้ระบบสถาบันการเงินเบี่ยงเบนได้ เนื่องจาก ธปท.ไม่สามารถควบคุมธนาคารของรัฐได้
ขณะที่จำนวนเงินฝากของธนาคารรัฐยังสูงมาก และมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง ส่งผลทำให้การส่งผ่านนโยบายการเงินไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมีเงินฝากกว่า 30% ที่ทาง ธปท.ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น เป็นหน้าที่ ธปท.ต้องติดตามและประเมินว่าการใช้นโยบายการเงินโดยการลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาใช้ได้ผลหรือไม่
ส่วนการที่ธนาคารกรุงไทยนำร่องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ไม่น่าจะส่งผลกดดันธนาคารพาณิชย์รายอื่น แต่เป็นแนวทางที่ธนาคารสามารถดำเนินการได้ และไม่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินฝาก
